คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4732/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้สัญญาประนีประนอมยอมความตามคำพิพากษาจะกำหนดให้โจทก์จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทในวันที่ 20 ตุลาคม2532 เวลา 11 นาฬิกาก็ตาม แต่ตามคำร้องของโจทก์อ้างว่าได้มอบหมายให้ทนายไปที่สำนักงานที่ดินเวลา 10.45 นาฬิกาและได้แจ้งให้ทนายจำเลยที่ 2 ทราบ โดยขอให้แจ้งเจ้าพนักงานเตรียมหลักฐานการโอนไว้ด้วย และโจทก์ได้ไปถึงสำนักงานที่ดินพร้อมทั้งเช็คและเงินสดเมื่อเวลา 12.10 นาฬิกา แต่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมดำเนินการให้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ ซึ่งหากข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำร้อง ก็ไม่อาจถือว่าโจทก์ผิดนัดผิดสัญญา เพราะเวลา11 นาฬิกาที่กำหนดนัดหมาย ในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น หมายถึงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายไปพร้อมกันเพื่อเริ่มดำเนินการตามแบบพิธีของทางราชการมิใช่หมายถึงเวลาที่ทำการโอนเสร็จเรียบร้อย แต่ข้อเท็จจริงตามคำร้องของโจทก์ จำเลยที่ 2 แถลงคัดค้านอยู่ จะต้องมีการไต่สวนทั้งสองฝ่ายว่าความจริงเป็นประการใดจึงจะวินิจฉัยได้ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญา ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดนัดโดยพิจารณาเฉพาะคำร้องนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม โดยสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองลงวันที่14 กันยายน 2532 ซึ่งโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงจะไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทในวันที่ 20 ตุลาคม 2532 เวลา 11 นาฬิกาณ สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการโอนของโจทก์และค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์เกี่ยวกับที่ดินนี้ตลอดจนค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จำเลยที่ 2 จะต้องเสียนั้นโจทก์จะเป็นผู้ชำระเองทั้งสิ้น
ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม 2532 เวลา 15.25 นาฬิกา จำเลยที่ 2ยื่นคำร้องว่า เมื่อเวลา 10.30 นาฬิกา จำเลยที่ 2 ได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยไปที่สำนักงานที่ดิน อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่พร้อมด้วยเอกสารสิทธิและเอาเอกสารอื่นอันจำเป็นในการจดทะเบียนเพื่อจะทำการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้โจทก์ไปด้วย ปรากฏว่าจนถึงเวลา 11.15 นาฬิกา โจทก์ไม่มาตามนัด จำเลยที่ 1 รออยู่จนถึงเวลา 12 นาฬิกา จึงได้ให้เจ้าพนักงานที่ดินบันทึกเป็นหลักฐานไว้และไม่ประสงค์จะโอนที่ดินให้โจทก์ต่อไป ขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินงดเว้นการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ด้วย
ในวันเดียวกันกับที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องนั้นเมื่อเวลา 16.20นาฬิกา โจทก์ได้ยื่นคำร้องว่า โจทก์ได้มอบหมายให้นายมนู รัตนาสินทนายโจทก์ไปที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม ถึงเมื่อเวลา 10.45นาฬิกา และแจ้งให้ทนายจำเลยที่ 2 ทราบว่าโจทก์กำลังดำเนินการให้ธนาคารออกเช็คให้จะเดินทางตามมา ขอให้แจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ ในการทำนิติกรรมให้ โจทก์เดินทางไปถึงสำนักงานที่ดินเมื่อเวลา 12.10 นาฬิกา พร้อมทั้งเช็คและเงินสดจำนวน 3,696,000 บาท เพื่อชำระให้จำเลยที่ 2 และขอให้ดำเนินการโอนสิทธิในที่ดินให้แก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการให้ โจทก์แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินให้ดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินให้ตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว แต่เจ้าพนักงานไม่ดำเนินการให้ โจทก์จึงได้ให้เจ้าพนักงานบันทึกไว้ตามภาพถ่ายบันทึกท้ายคำร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอแม่ริมดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลชั้นต้นนัดสอบถาม ในวันนัดสอบถามโจทก์แถลงยืนยันตามบันทึกท้ายคำร้องของโจทก์ ทนายจำเลยแถลงคัดค้านคำร้องของโจทก์อ้างว่าโจทก์ผิดนัด ศาลชั้นต้นพิจารณาเฉพาะคำร้องแล้วมีคำสั่งว่าโจทก์ผิดนัด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้สัญญาประนีประนอมยอมความในข้อ 2 จะกำหนดใด้ทั้งสองฝ่ายไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวในวันที่ 20 ตุลาคม 2532 เวลา 11 นาฬิกา ก็ตาม การที่จะพิจารณาว่าฝ่ายใดผิดนัดผิดสัญญานั้น จะต้องพิจารณาการกระทำประกอบกับเจตนาที่ฝ่ายนั้นได้แสดงออกมาว่าจะไม่นำพาต่อการปฏิบัติตามนัดตามสัญญาหรือไม่เป็นสำคัญ ตามคำร้องของโจทก์อ้างว่าได้มอบหมายให้ทนายไปที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริมเมื่อเวลา 10.45 นาฬิกา และได้แจ้งให้ทนายจำเลยที่ 2 ทราบโดยขอให้แจ้งเจ้าพนักงานเตรียมหลักฐานการโอนไว้ด้วย และโจทก์ได้ไปถึงสำนักงานที่ดินพร้อมทั้งเช็คและเงินสดที่จะชำระให้จำเลยที่ 2 เมื่อเวลา 12.10 นาฬิกา แต่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมดำเนินการให้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ ซึ่งถ้าข้อเท็จจริงเป็นอย่างที่โจทก์อ้างในคำร้องแล้วกรณีก็ไม่อาจจะถือได้ว่าโจทก์ผิดสัญญาเพราะ 11 นาฬิกา ที่กำหนดนัดหมายในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เป็นที่เห็นได้ว่า หมายถึงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายไปพร้อมกัน เพื่อเริ่มดำเนินการตามแบบพิธีของทางราชการมิใช่หมายถึงเวลาที่ทำการโอนเสร็จเรียบร้อยการที่ทนายโจทก์ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวแทนโจทก์ไปถึงตามเวลานัดหมายและแจ้งให้ทนายฝ่ายจำเลยที่ 2 ทราบถึงเรื่องที่จะดำเนินการรับโอนที่ดินต่อไปเช่นนี้ ถือได้ว่าฝ่ายโจทก์ได้ไปตามเวลาที่นัดหมายแล้ว แต่ข้อเท็จจริงตามคำร้องของโจทก์นั้น จำเลยที่ 2 แถลงคัดค้านอยู่จะต้องมีการไต่สวนทั้งสองฝ่ายว่าความจริงเป็นประการใด จึงจะวินิจฉัยได้ว่า ฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญา แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้ไต่สวนในข้อนี้ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่พอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยไปได้ว่าโจทก์ผิดนัดผิดสัญญาหรือไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดนัด โดยที่ยังมิได้มีข้อเท็จจริงให้เห็นว่าเป็นประการใดนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา…”
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น และคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนข้อเท็จจริงตามคำร้องของโจทก์และจำเลยที่ 2แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งใหม่.

Share