แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บรรยายฟ้องว่าจำเลยโดยเจตนาทุจริตได้หลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งโดยจำเลยทำสัญญาแบ่งทรัพย์สินกับโจทก์ ซึ่งมีข้อสัญญายอมให้โจทก์ไปเก็บเงินตามบัญชีที่ลูกค้าค้างชำระร้านน่ำกี่หรือปั้งน่ำกี่มาเป็นประโยชน์ของโจทก์ แต่ต่อมาโจทก์นำบัญชีที่ลูกค้าค้างชำระจากจำเลยไปเก็บเงินปรากฏว่าจำเลยไปเก็บเงินจากลูกค้าไปก่อนแล้ว โดยไม่บอกให้โจทก์ทราบขณะทำสัญญาการหลอกลวงโดยปกปิดความจริงดังกล่าว โจทก์หลงเชื่อจึงไม่ติดใจเรียกร้องทรัพย์สินอื่นที่จำเลยได้เอาไปจากโจทก์ ทำให้จำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินและสิทธิต่างๆ ของโจทก์ เช่นนี้เป็นฟ้องที่ได้บรรยายครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง พอที่จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว ไม่จำต้องบรรยายว่าโจทก์เสียหายเป็นจำนวนเงินเท่าใด เพราะเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นน้องโจทก์ช่วยโจทก์ค้าขายในร้านค้าวัสดุก่อสร้างของโจทก์ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2518 เวลากลางวัน จำเลยโดยเจตนาทุจริตได้หลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยจำเลยทำสัญญาแบ่งทรัพย์สินกับโจทก์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านโป่งว่า “เงินตามบัญชีซึ่งลูกค้าค้างชำระให้กับทางร้านน่ำกี่หรือปั้งน่ำกี่ดังกล่าวข้างต้นทั้งหมด ก่อนวันที่ 3 เมษายน 2518 ทางนายไพรัชจะเป็นผู้นำบัญชีไปเก็บเงินนำมาเป็นประโยชน์ตนเอง และท้ายสัญญาระบุว่าส่วนบัญชีลูกค้าค้างชำระหนี้อยู่ตามสัญญาข้อ 2 นั้น ทางฝ่ายนายไพรัชรับไปเรียบร้อยแล้ว และสัญญาที่เคยทำกันไว้ก่อนวันทำสัญญานี้ถือเป็นโมฆะ” ต่อมาโจทก์นำบัญชีที่ลูกค้าค้างชำระจากจำเลยไปเก็บเงินจากลูกค้า ปรากฏว่าจำเลยได้เก็บเงินไปก่อนแล้วโดยไม่บอกให้โจทก์ทราบขณะทำสัญญา การหลอกลวงโดยปกปิดความจริงดังกล่าวนั้น โจทก์หลงเชื่อโดยสุจริตจึงไม่ติดใจเรียกร้องเอาทรัพย์สินอื่นที่จำเลยได้เอาไปจากโจทก์ และทำให้จำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินและสิทธิต่าง ๆ ของโจทก์ โจทก์ต้องเสียสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์ตามสัญญาแบ่งทรัพย์สินให้แก่จำเลย เหตุเกิดที่ตำบลบ้านโป่ง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้2 ปี ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยโดยเจตนาทุจริตได้หลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยจำเลยทำสัญญาแบ่งทรัพย์สินกับโจทก์ซึ่งมีข้อสัญญายอมให้โจทก์ไปเก็บเงินตามบัญชีที่ลูกค้าค้างชำระร้านน่ำกี่หรือปั้งน่ำกี่มาเป็นประโยชน์ของโจทก์ แต่ต่อมาโจทก์นำบัญชีที่ลูกค้าค้างชำระจากจำเลยไปเก็บเงินปรากฏว่าจำเลยไปเก็บเงินจากลูกค้าไปก่อนแล้วโดยไม่บอกให้โจทก์ทราบขณะทำสัญญา การหลอกลวงโดยปกปิดความจริงดังกล่าว โจทก์หลงเชื่อจึงไม่ติดใจเรียกร้องทรัพย์สินอื่นที่จำเลยได้เอาไปจากโจทก์ และทำให้จำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินและสิทธิต่าง ๆ ของโจทก์เห็นได้ว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายการกระทำทั้งหลายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว ไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าฟ้องโจทก์เสียหายเป็นจำนวนเงินเท่าใดเพราะเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องนำสืบในเวลาพิจารณาทั้งรายละเอียดตามบัญชีที่ลูกค้าค้างชำระโจทก์ได้รับบัญชีมาจากจำเลยเอง จำเลยย่อมทราบดีว่าเป็นเงินจำนวนเท่าใด การที่จำเลยหลอกลวงฉ้อโกงเป็นเหตุให้โจทก์เสียสิทธิอย่างไรก็ได้กล่าวมาในฟ้องแล้ว และโดยการหลอกลวงทำให้จำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินของโจทก์นั้น ตามคำฟ้องหมายถึงเงินที่ลูกค้าค้างชำระตามบัญชีซึ่งมีข้อสัญญาตามสัญญาแบ่งทรัพย์สินว่าเงินดังกล่าวให้โจทก์ไปเก็บเอาเป็นของโจทก์ แต่จำเลยไปเก็บจากลูกค้าเอาไปเสียก่อน ฟ้องโจทก์ได้บรรยายครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 แล้วจึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย
พิพากษายืน