แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้ร้องซ่อมแซมบ้านซึ่งปลูกในที่อันเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง อีกทั้งผู้ร้องยังสร้างบ้านขึ้นใหม่อีกหนึ่งหลังในที่ดินดังกล่าวภายหลังจากการสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยนั้น เมื่อผู้ร้องได้เอาเงินอันเป็นดอกผลของสินส่วนตัวของผู้ร้องเองใช้จ่ายในการซ่อมแซมและปลูกสร้างแล้ว ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดก็ย่อมเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1464(4) และมาตรา 1465 วรรคท้าย โจทก์จะขออายัดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ไว้ก่อนมีคำพิพากษาหาได้ไม่ เพราะโจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยด้วย กรณีจึงไม่เข้าตามมาตรา 254(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
สินส่วนตัวของภริยานั้น หาได้มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้ถือว่าเป็นทรัพย์สินของสามีผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยไม่ ดังนั้น จึงไม่อาจนำบทบัญญัติในมาตรา 282วรรคท้ายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้กับกรณีนี้ได้
ย่อยาว
คดีนี้ผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาจำเลยร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในโฉนดที่ ๓๘๐๑ ตำบลถนนพญาไทอำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร โดยเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง ต่อมาโจทก์ได้ขออายัดที่ดินรายนี้ไว้ก่อนคำพิพากษาโดยอ้างว่าเป็นของจำเลย และศาลได้สั่งอายัดไว้แล้ว จึงขอให้ถอนการอายัด
โจทก์คัดค้านว่า หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้ที่จำเลยก่อขึ้นเพื่อนำผลประโยชน์ไปเลี้ยงดูครอบครัวและเนื่องจากการงานซึ่งจำเลยและผู้ร้องทำด้วยกัน จึงเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินบริคณห์อันเป็นหนี้ร่วมกับผู้ร้องที่เอาใช้จากสินส่วนตัวของผู้ร้องได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง แต่หนี้ที่จำเลยมีอยู่ต่อโจทก์นั้น เป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินบริคณห์ โจทก์ย่อมเอาชำระได้จากสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่าย โจทก์จึงมีสิทธิอายัดให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ถอนการอายัดที่ดินโฉนดที่ ๓๘๐๑พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้าง ของผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงในท้องสำนวนได้ความว่า ผู้ร้องทำการสมรสกับจำเลยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ ต่อมา พ.ศ. ๒๔๙๖ พระยาอนุบาลพายัพกิจบิดาผู้ร้องได้ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๓๘๐๑ ตำบลถนนพญาไท อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างในที่ดินให้เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ ผู้ร้องจัดการซ่อมแซมบ้านเลขที่ ๑๐๔/๒ ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินมาแต่เดิม และสร้างบ้านเลขที่ ๑๐๔/๓ ขึ้นใหม่อีกหนึ่งหลัง
ศาลฎีกาฟังว่า ผู้ร้องได้นำเงินส่วนตัวของผู้ร้องเอง ๓๐,๐๐๐-๔๐,๐๐๐ บาท กับเงินที่ยืมมาจากนายกมล ผลสิทธิ อีก ๑๐๐,๐๐๐ บาทเศษมาใช้จ่ายในการซ่อมแซมบ้านเก่าและปลูกสร้างบ้านใหม่นี้ เพราะผู้ร้องมีรายได้จากค่าเช่าอันเป็นดอกผลส่วนตัวของผู้ร้องเองอยู่ถึงเดือนละ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ บาท ส่วนเงินที่ยืมมาจากนายกมล ผลสิทธิ ผู้ร้องก็ได้เอาที่ดินสินส่วนตัวของผู้ร้องอีกแปลงหนึ่งต่างหากที่ตรอกพระยาสุนทรพิมลตีใช้หนี้ไป ดังนั้น แม้บ้านเลขที่ ๑๐๔/๒ และ ๑๐๔/๓ จะเป็นบ้านที่ได้ซ่อมแซมและปลูกสร้างขึ้นใหม่ภายหลังการสมรสของผู้ร้องกับจำเลยก็ย่อมเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๔(๔) และมาตรา ๑๔๖๕ วรรคท้าย
เมื่อที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง โจทก์จะขออายัดที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างนี้ไว้ก่อนมีคำพิพากษาหาได้ไม่ เพราะโจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยด้วย กรณีจึงไม่เข้าตามมาตรา ๒๕๔(๑) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยทั้งหมดหรือบางส่วนไว้ก่อนพิพากษา
ที่โจทก์ฎีกาว่าอาจนำบทบัญญัติในมาตรา ๒๘๒ วรรคท้าย แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้กับกรณีนี้ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าความในวรรคท้ายแห่งมาตรา ๒๘๒ นี้ หมายถึงทรัพย์สินที่เป็นของภริยาหรือบุตรผู้เยาว์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเฉพาะในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้อาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น แต่ทรัพย์ส่วนตัวของภริยา หามีบทกฎหมายใดบัญญัติให้ถือว่าเป็นทรัพย์สินของสามีผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยไม่
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์