คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2435-2437/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บทบัญญัติมาตรา 1535 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ว่าบุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดานั้น เป็นบทบัญญัติที่กำหนดหน้าที่ของบุตรไว้ มิใช่เป็นเพียงหน้าที่ในทางศีลธรรมที่บุตรจะปฏิบัติหรือไม่ก็ได้ ฉะนั้น เมื่อบุตรถูกทำละเมิดถึงแก่ความตายบิดามารดาย่อมขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย จึงมีอำนาจฟ้องผู้ทำละเมิดเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้ตามมาตรา 443
กรณีที่ลูกจ้างถูกผู้อื่นทำละเมิดและนายจ้างได้จ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ลูกจ้างอันเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวด้วยการจ้างแรงงานอีกส่วนหนึ่งต่างหากนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติให้มีผลเกี่ยวข้องถึงความรับผิดของบุคคลในการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ทำละเมิดและนายจ้างของผู้ทำละเมิดจึงยังคงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดนั้น
จำนวนเงินค่าเสียหายในอนาคตที่ศาลกำหนดให้ โจทก์มิได้ขอคิดดอกเบี้ยไว้ การที่ศาลชั้นต้นกำหนดดอกเบี้ยให้ในเงินจำนวนนี้ ย่อมขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งขึ้นมา ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้
กรณีที่เกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ซึ่งจำเลยบางคนฎีกาเมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้จำเลยรับผิดน้อยลง ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาได้ด้วย

ย่อยาว

คดีสามสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารได้นำรถเข้าร่วมกิจการกับจำเลยที่ ๓ หาผลประโยชน์ร่วมกัน และร่วมกันเป็นนายจ้างจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒, ๓ โดยประมาท พุ่งเข้าชนรถยนต์เก๋งที่พันจ่าอากาศโทอนันต์ต้องประสงค์ โจทก์สำนวนที่ ๓ เป็นผู้ขับสวนทางมาจนเสียหายยับเยินเป็นเหตุให้นายกฤติราช อมาตยกุล บุตรโจทก์สำนวนที่ ๑ และนายสุมิตร์รู้จันทราลักษณ์ บิดาและสามีโจทก์สำนวนที่ ๒ ซึ่งนั่งมาในรถยนต์เก๋งถึงแก่ความตาย พันจ่าอากาศโทอนันต์ได้รับบาดเจ็บพิการตลอดชีวิตขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒, ๓ ต่อสู้ปฏิเสธความรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ในสำนวนที่ ๑ เป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ทั้งสี่คนในสำนวนที่ ๒รวมกันเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ในสำนวนที่ ๓ ให้โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐บาท ให้โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ที่ ๑ ในสำนวนที่ ๓ และจำเลยที่ ๒, ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ค่าสินไหมทดแทนสำหรับโจทก์ที่ ๑ในสำนวนที่ ๓ กำหนดให้สูงขึ้นเป็นเงินทั้งหมด ๓๔๔, ๔๑๗ บาท และที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยสำหรับค่าขาดไร้อุปการะทั้งหมดนั้นเกินคำขอ เพราะในส่วนที่เป็นค่าขาดไร้อุปการะในอนาคต โจทก์ไม่ได้ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยด้วย จำเลยไม่ต้องชำระดอกเบี้ยในเงินดังกล่าวนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ และที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๑ โดยตรงแต่ผู้เดียว
ในประเด็นเรื่องค่าเสียหาย ข้อที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ในสำนวนที่ ๑ซึ่งเป็นมารดาของนายกฤติราชผู้ตายไม่มีสิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูตามกฎหมายนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๓๕ บัญญัติว่า “บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา” เป็นบทบัญญัติที่กำหนดหน้าที่ของบุตรไว้ มิใช่เป็นเพียงหน้าที่ในทางศีลธรรมที่บุตรจะปฏิบัติหรือไม่ก็ได้ ดังที่จำเลยฎีกา ฉะนั้น เมื่อบุตรถึงแก่ความตายบิดามารดาย่อมขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย โจทก์ในสำนวนที่ ๑ จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา ๔๔๓
สำหรับในข้อที่จำเลยฎีกาว่า บริษัทอิสต์เอเซียติ๊ก จำกัด นายจ้างได้ดำเนินการจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์ผู้ได้รับความเสียหายไปแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยอีกนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นายจ้างจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ลูกจ้างนั้นเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวด้วยการจ้างแรงงานอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ซึ่งมิได้บัญญัติให้มีผลเกี่ยวข้องถึงความรับผิดของบุคคลในการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จำเลยจึงคงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดนั้น
ส่วนจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยศาลอุทธรณ์นอกจากค่าเสียความสามารถประกอบการงานของโจทก์ที่ ๑ ในสำนวนที่ ๓ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้เป็นจำนวน ๑๕๐,๐๐๐ บาท
ที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในเรื่องกำหนดดอกเบี้ยให้จำเลยต้องชำระน้อยลง เป็นการไม่ชอบ เพราะมิได้มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งขึ้นมานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำนวนเงินค่าเสียหายในอนาคตที่ศาลกำหนดให้ เป็นเงินอีกจำนวนหนึ่งต่างหากที่โจทก์มิได้ขอคิดดอกเบี้ยไว้ การกำหนดดอกเบี้ยให้เช่นนี้ย่อมขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้
อนึ่ง คดีนี้เป็นกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้เมื่อศาลฎีกากำหนดค่าสินไหมทดแทนให้จำเลยรับผิดน้อยลง แม้จำเลยที่ ๑มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ ๑ ได้ด้วย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ ๑ ในสำนวนที่ ๓ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๒๒๕,๖๑๗ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share