แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เช็คมิได้มีข้อความว่ากู้หรือยืมในเช็คนั้น แต่ประการใด ย่อมไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม และจะนำสืบว่าเป็นการกู้ยืมเพื่อนำเอาอายุความเรื่องกู้มาใช้ไม่ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 34/2503)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยืมเงินโจทก์ไป 54,000 บาท และได้ลงชื่อเป็นผู้สลักหลังเช็คสั่งจ่ายเงินสด 54,000 บาท ครั้นถึงกำหนด โจทก์นำเช็คไปขึ้นเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธไม่จ่าย อ้างว่าผู้สั่งจ่ายไม่มีเงินในบัญชีพอจะจ่ายได้ โจทก์ได้ทวงถามจำเลยให้ชำระหนี้ แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้
จำเลยให้การต่อสู้ว่า ไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ โจทก์ไม่มีหลักฐานการยืมเป็นหนังสือ จำเลยลงชื่อด้านหลังเช็คเพื่อเป็นการรับรองเช็คโจทก์ไม่ได้เรียกร้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้สลักหลังภายใน 1 ปี จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยกู้เงินโจทก์โดยสลักหลังเช็คออกล่วงหน้าให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักฐาน และจำเลยผิดนัดชำระหนี้พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีปัญหาว่า เช็คเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่าการกู้ยืมเงินกว่า 50 บาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่า เช็คในฉบับนี้มิได้มีคำว่า กู้หรือยืม เลย และอ่านข้อความในเช็คทั้งหมดก็ไม่ได้มีเค้าว่าเป็นการกู้ยืมแต่ประการใดเลย สภาพของเช็คก็เป็นการใช้เงิน ไม่ใช่การกู้หรือยืมเงิน ฉะนั้น เช็คจึงมิใช่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมจะนำสืบว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมหาได้ไม่ ยิ่งกว่านั้น สำหรับเช็ครายพิพาทนี้ จำเลยก็เป็นเพียงผู้สลักหลัง แสดงว่าเป็นผู้ยอมรับผิดแต่เฉพาะตามเช็คสำหรับจำเลยยิ่งไม่มีทางจะเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้เลย ที่ศาลทั้งสองวินิจฉัยว่าเช็ครายนี้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นเมื่อฟังว่าเช็คไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมแล้ว ก็จะนำเอาอายุความเรื่องกู้มาใช้ไม่ได้
จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์