แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์มีประจักษ์พยานมาเบิกความเป็นพยาน4ปากแต่มีบิดาผู้ตายเพียงปากเดียวที่ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายส่วนพยานนอกนั้นจำคนร้ายไม่ได้แต่คำเบิกความของบิดาผู้ตายขัดกับคำให้การในชั้นสอบสวนที่ระบุว่าไม่เห็นเหตุการณ์ขณะคนร้ายยิงผู้ตายอีกทั้งคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานอื่นก็เป็นคำบอกเล่าที่เป็นพิรุธยิ่งกว่าที่เบิกความในชั้นศาลประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นคำรับสารภาพที่ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจใช้ยันจำเลยทั้งสองไม่ได้พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน(ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2522 มาตรา 5, 7 คำสั่งคณะปฎิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ข้อ 3, 6, 7ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 371, 288, 289, 91 และริบของกลางเว้นแต่รถจักรยานยนต์ให้คืนแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(1) ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำเลยทั้งสองจำคุกตลอดชีวิต ริบอาวุธปืนกับกระสุนปืนและปลอกกระสุนปืนของกลางส่วนรถจักรยานยนต์ของกลางให้คืนแก่เจ้าของคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้าย 2 คน ร่วมกันใช้อาวุธปืนสั้นจำนวน 1 กระบอก ยิงนายสาและ หะแว ผู้ตายถูกบริเวณท้ายทอยและขมับ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย โดยคนร้ายใช้รถจักรยานยนต์ 1 คัน เป็นยานพาหนะ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) หรือไม่โจทก์มีประจักษ์พยานมาเบิกความเป็นพยานจำนวน 4 ปาก คือนายมะ หะแว บิดาผู้ตาย นายบือราเฮง หะแวกะจิ นายมาดือราเจะเงาะ และนายมะตาเฮ ตือราแม็ง แต่มีนายมะ หะแวปากเดียวที่เบิกความยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายส่วนประจักษ์พยานนอกนั้นเบิกความทำนองเดียวกันว่าจำคนร้ายไม่ได้ สำหรับนายมะ อาแว เบิกความว่า ขณะนายมะ ขายกาแฟอยู่ในร้านซึ่งเป็นบ้านพักโดยมีผู้ตายอยู่ในร้านมีคนร้าย 2 คนขับรถจักรยานยนต์ซ้อนกันมาจอดอยู่นอกรั้วบ้านนายมะ ถามนายมะว่ามีรถจักรยานยนต์ที่ไหนจะขายบ้าง นายมะตอบว่าแถวนี้ไม่มีจากนั้นผู้ตายลุกขึ้น คนร้ายที่เป็นคนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ก็ใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้ตาย 1 นัด ทันที แล้วพากันหลบหนี นายมะเข้าไปดูผู้ตายปรากฏว่าถึงแก่ความตายแล้ว นายมะให้นายบือราเฮงไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบถามนายมะในที่เกิดเหตุว่าคนร้ายไปทางไหน นายมะแจ้งว่าไปทางทิศตะวันตกนายมะจำคนร้ายทั้งสองได้คือจำเลยทั้งสอง นายมะไม่เคยรู้จักจำเลยทั้งสอง แต่เคยเห็นหน้าก่อนเกิดเหตุ 1 วัน โดยจำเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์มาจอดหน้าบ้านพยาน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้และให้นายมะดูตัวนายมะยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายเห็นว่า ตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาที่ 1 เอกสารหมาย จ.7 ซึ่งนายมะเบิกความรับรองไว้ปรากฎว่านายมะให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า ขณะนายมะชงน้ำชาให้แก่ลูกค้า มีรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิคันหนึ่งมาจอดที่ร้านมีคนนั่งมา 2 คน คนขับรถเดินมาถามซื้อบุหรี่ นายมะตอบว่าไม่มีคนขับรถผู้นั้นก็ออกจากบ้านส่วนคนนั่งซ้อนท้ายนายมะไม่ได้สนใจต่อมาประมาณ 5 ถึง 6 นาที ขณะนายมะกำลังทำงานในบ้านมีลูกค้าที่นั่งดื่มน้ำชาที่หน้าร้านเข้ามาบอกนายมะว่า ผู้ตายถูกยิงล้มอยู่หน้าบ้าน นายมะจึงรีบออกมานอกบ้าน แสดงให้เห็นว่าในชั้นสอบสวนนายมะแสดงให้ปรากฎต่อพนักงานสอบสวนว่าไม่เห็นเหตุการณ์ขณะคนร้ายยิงผู้ตาย และหากนายมะจำคนร้ายที่อ้างว่าเป็นจำเลยทั้งสองได้ นายมะก็น่าจะระบุตำหนิรูปพรรณของคนร้ายต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาสอบถามนายมะในวันเกิดเหตุแต่นายมะก็เบิกความว่า นายมะแจ้งตำหนิรูปพรรณคนร้ายต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังเกิดเหตุ 3 วัน ทั้งนายมะเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า คนร้ายสวมกางเกงยีนทั้งสองคนแต่ตามบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาที่ 1 เอกสารหมาย จ.7 นายมะให้การว่าคนร้ายทั้งสองคนสวมโสร่ง สำหรับรถจักรยานยนต์ของกลางที่โจทก์นำสืบว่าเป็นยานพาหนะที่จำเลยทั้งสองใช้กระทำผิดเป็นรถยี่ห้อยามาฮ่า ซึ่งนอกจากจะต่างยี่ห้อกับที่นายมะให้การในชั้นสอบสวนแล้วนายมะยังเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านอีกว่านายมะได้บอกเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ารถจักรยานยนต์ของกลางไม่ใช่รถของคนร้าย นอกจากนี้คนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายตามที่นายมะให้การไว้ในบันทึกคำให้การของผู้กล่าวหาที่ 1เอกสารหมาย จ.7 คือ นายกูมรุสดีหรือกูดี ต่วนสาและหาใช่ชื่อของจำเลยคนใดไม่ ครั้นเมื่อเจ้าพนักงานทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.4 ตามที่นายมะเบิกความรับรองไว้ซึ่งปรากฏว่าทำขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2536 เป็นเวลาหลังเกิดเหตุ 5 วัน ในช่องคดีระหว่างผู้กล่าวหากับผู้ต้องหาก็ยังคงใช้ชื่อนายกูมะรุสดี ต่วนสาและ ทั้งเมื่อนายมะนำปลอกกระสุนปืนที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุมอบให้แก่พนักงานสอบสวนตามบันทึกการมอบปลอกกระสุนปืนของกลางและบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ซึ่งนายมะเบิกความรับรองไว้ได้ทำขึ้นเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2536 เป็นเวลาหลังเกิดเหตุ 9 วันก็ยังคงปรากฎว่าคนร้ายคือนายกูมะรุสดีหรือกูดี ต่วนสาและกับพวกน่าเชื่อว่าก่อนหน้านั้นยังไม่มีผู้ใดสงสัยว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย นายมะเบิกความต่อไปว่า คนร้ายที่อ้างว่าเป็นจำเลยทั้งสองสามหมวกผ้าไม่มีปีก ย่อมเห็นได้ว่ายากแก่การจดจำทรงผมของคนร้ายนายมะจึงไม่น่าจะให้การในชั้นสอบสวนถึงรายละเอียดทรงผมของคนร้ายทั้งสองได้และการจัดให้มีการชี้ตัวจำเลยทั้งสองก็น่าจะจัดให้จำเลยทั้งสองปะปนกับบุคคลอื่น แต่ตามภาพถ่ายให้พยานดูตัวผู้ต้องสงสัยท้ายบันทึกการดูตัวและยืนยันตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.3ภาพที่ 1 และภาพที่ 2 ปรากฎว่ามีการจัดให้นายมะชี้ตัวจำเลยทั้งสองโดยลำพังสองต่อสอง ไม่มีผู้อื่นใดปะปนเลย ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง สำหรับนายบือราเฮง หะแวกะจิ เบิกความว่า เมื่อได้ยินเสียงปืนจึงหันไปดู เห็นผู้ตายล้ม คนร้ายที่ถืออาวุธปืนวิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายอีกคนนั่งคร่อมอยู่ นายบือราเฮงจำคนร้ายทั้งสองไม่ได้ เพราะเมื่อหันไปดูเห็นคนร้ายถือปืนก็กลัวและก้มหน้าทันทีประกอบกับเหตุเกิดรวดเร็วมาก ในชั้นสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจให้นายบือราเฮงลงชื่อในบันทึกคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.8 โดยมิได้สอบถามหรืออ่านให้นายบือราเฮงฟังแม้ในบันทึกคำให้การดังกล่าว นายบือราเฮงจะให้การว่าจำคนร้ายทั้งสองได้ แต่นายบือราเฮงก็ยืนยันในคำให้การครั้งแรกว่าคนร้ายคือนายกูมะรุสดีหรือกูดี ต่วนสาและ ครั้นเมื่อจำเลยทั้งสองถูกจับและพนักงานสอบสวนนายบือราเฮง เพิ่มเติม นายบือราเฮงก็ให้การว่าไม่กล้าชี้ตัวจำเลยทั้งสอง คำให้การในชั้นสอบสวนของนายบือราเฮงดังกล่าวจึงเป็นคำบอกเล่าที่เป็นพิรุธยิ่งกว่าที่เบิกความในชั้นศาลสำหรับนายมาดือรา เจะเงาะ เบิกความว่าขณะนายมาดือรารับประทานข้าวยำอยู่ในร้านนายมะ หะแว ได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์มาจอดที่หน้าร้าน ต่อมาได้ยินเสียงปืนจึงหันไปดูเห็นผู้ตายถูกยิงตายอยู่หน้าร้าน และเห็นคนร้าย 2 คนนั่งรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันหลบหนี โดยเห็นทางด้านหลัง จำไม่ได้ว่าคนร้ายเป็นใคร ชั้นสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบถามนายมาดือราเพียงว่ารู้จักคนร้ายหรือไม่ นายมาดือราว่าไม่รู้จักและไม่ได้บอกเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าถ้าเห็นคนร้ายจำได้แต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจให้นายมาดือราลงชื่อโดยไม่อ่านให้ฟัง ตามบันทึกคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.10 แม้นายมาดือราจะให้การตามบันทึกดังกล่าวว่าจำคนร้ายได้ แต่นายมาดือราก็ระบุว่าคนร้ายคนหนึ่งชื่อนายกูมะรุสดีหรือกูดี ต่วนสาและ ครั้นต่อมาจำเลยทั้งสองถูกจับและพนักงานสอบสวนบันทึกคำให้การของนายมาดือราเพิ่มเติมและจะให้นายมาดือราชี้ตัวจำเลยทั้งสอง นายมาดือราก็ไม่กล้าชี้ตัวจำเลยทั้งสอง และที่นายมาดือราให้การในชั้นสอบสวนว่าได้ดูภาพถ่ายจำเลยทั้งสองที่พนักงานสอบสวนให้ดูนั้น โจทก์ก็มิได้นำภาพถ่ายจำเลยทั้งสองดังกล่าวมานำสืบ ทั้งนายมาดือราก็เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจให้นายมาดือราดูภาพถ่ายคนร้าย นายมาดือราไม่รู้จักคนร้ายตามภาพถ่ายจะเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตายหรือไม่นายมาดือราไม่ทราบ คำให้การในชั้นสอบสวนของนายมาดือราดังกล่าวจึงเป็นคำบอกเล่าที่เป็นพิรุธยิ่งกว่าที่เบิกความในชั้นศาล ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง สำหรับนายมะตาเฮ ดือราเม็ง เบิกความว่าขณะนายมะตาเฮรับประทานข้าวยำอยู่ที่บ้านผู้ตาย มีชาย 2 คน ขับรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันมาจอดที่บ้านผู้ตายและเรียกผู้ตายให้ออกไปคุยกันที่หน้าบ้านด้านหลังนายมะตาเฮ ต่อมาครู่หนึ่งได้ยินเสียงปืน 1 นัดนายมะตาเฮหันไปดูเห็นผู้ตายล้ม ส่วนชายคนที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ถืออาวุธปืนสั้นเดินไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ชายอีกคนหนึ่งเป็นคนขับพากันหลบหนี นายมะตาเฮจำคนร้ายทั้งสองไม่ได้ นายมะตาเฮลงชื่อในบันทึกคำให้การของทนายเอกสารหมาย จ.16โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจบันทึกขึ้นเองปรากฎตามบันทึกคำให้การดังกล่าวว่านายมะตาเฮระบุว่าคนร้ายที่ยิงผู้ตายคือนายกูมะรุสดีหรือกูดีต่วนสา ครั้นเมื่อจำเลยทั้งสองถูกจับและนายมะตาเฮให้การเพิ่มเติมนายมะตาเฮก็ให้การว่าหากพนักงานสอบสวนจะให้นายมะตาเฮทำการชี้ตัวผู้ต้องหาทั้งสอง นายมะตาเฮก็ไม่สมัครใจที่จะชี้ และเมื่อนายมะตาเฮให้การว่าได้ดูภาพถ่ายจำเลยทั้งสองที่พนักงานสอบสวนให้ดูแล้วยืนยันว่า เป็นภาพถ่ายคนร้ายทั้งสองนั้นโจทก์ก็ไม่นำภาพถ่ายดังกล่าวมานำสืบ คำให้การในชั้นสอบสวนของนายมะตาเฮจึงเป็นคำบอกเล่าที่เป็นพิรุธยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นศาล ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง สำหรับนายสาการียา หะแว พี่ชายผู้ตายพยานโจทก์เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุนายสาการียาเลี้ยงไก่อยู่บริเวณหลังบ้าน ได้ยินเสียงปืนที่หน้าบ้าน และมีเพื่อนมาบอกว่าผู้ตายถูกยิงตายแล้ว นายสาการียาวิ่งมาดูผู้ตาย ไม่ทราบว่าใครเป็นคนร้าย นายสาการียาให้การต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.9 ปรากฎตามบันทึกคำให้การดังกล่าว นายสาการียาให้การว่าไม่เห็นเหตุการณ์ขณะคนร้ายยิงผู้ตายเช่นเดียวกับที่เบิกความในชั้นศาล แต่ได้ให้การในชั้นสอบสวนว่าได้สอบถามรูปพรรณคนร้ายจากผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุแล้วปรากฏว่า คนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายมีรูปพรรณตรงกับนายกูมะรุสดีหรือกูดี ต่วนสา และ ซึ่งเคยมาที่บ้านนายมะและคุยกับนายสาการียาก่อนเกิดเหตุ 1 วัน ต่อมาหลังจากจำเลยทั้งสองถูกจับนายสาการียาให้การเพิ่มเติมว่าได้ดูตัวจำเลยทั้งสองแล้วใช่คนร้ายที่มาคุยกับนายสาการียาดังกล่าว แต่เมื่อนายสาการียาเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านกลับเบิกความว่าก่อนนั้นไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าจำเลยทั้งสองมาก่อน เพิ่งเห็นตอนเจ้าหน้าที่ตำรวจพาจำเลยไปทำแผนที่ประกอบคำรับสารภาพ เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกและใช้ให้นายสาการียาชี้จำเลยทั้งสองคำเบิกความในชั้นศาลและคำให้การในชั้นสอบสวนอันเป็นคำบอกเล่าของนายสาการียาต่างไม่มีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสองได้เช่นเดียวกันสำหรับสาเหตุที่มีการจับกุมจำเลยทั้งสองนั้นได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจโทพีระเดช วงศ์เดชะไพบูลย์ ผู้ร่วมจับจำเลยทั้งสองประกอบบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.11 ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีสาครจังหวัดนราธิวาส ได้รับแจ้งจากผู้ไม่ประสงค์ออกนามว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำผิดในคดีนี้มารับจ้างกรีดยางพาราของนายรอเชอะที่ตำบลรือเสาะ อำเภอศรีสาครจึงไปนำตัวจำเลยทั้งสองมา และแจ้งทางโทรศัพท์ให้สถานีตำรวจภูธรอำเภอสายบุรีท้องที่เกิดเหตุไปรับตัวจำเลยทั้งสอง และเบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่าจับจำเลยทั้งสองได้โดยไม่ได้ของกลางอะไร แสดงให้เห็นว่าการจับกุมจำเลยทั้งสองมิได้ทำการจับกุมไปตามชื่อผู้ต้องหาหรือตำหนิรูปพรรณที่ประจักษ์พยานให้การต่อพนักงานสอบสวน แต่จับไปตามผู้ไม่ประสงค์ออกนามแจ้งให้จับ ทั้งอาวุธปืนและรถจักรยานยนต์ของกลางก็มิได้ยึดได้จากจำเลยทั้งสองที่พันตำรวจโทเลอพงศ์ ภู่ไพบูลย์ พนักงานสอบสวนเบิกความว่าพันตำรวจโทเลอพงศ์ได้รับแจ้งเหตุแล้วร่วมกับพวกไปยังที่เกิดเหตุร่วมกับแพทย์ทำการชันสูตรพลิกศพผู้ตายตามรายงานชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้อง และทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีอาญา เอกสารหมาย จ.4 และ จ.17จากการสอบสวนได้ความจากนายมะบิดาผู้ตาย นายสาการียา และบุคคลอีก 2 ถึง 3 คน ว่า คนร้ายคือจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและจำเลยที่ 2เป็นคนร้ายที่ขับรถจักรยานยนต์ หากพันตำรวจโทเลอพงศ์สอบสวนจนได้ความว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายจริงตามรายงานการชันสูตรพลิกศพ แผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุและบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีอาญาดังกล่าวก็น่าจะระบุว่าจำเลยทั้งสองหรือจำเลยคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ต้องหา แต่ชื่อผู้ต้องหาในเอกสารดังกล่าวกลับล้วนระบุชื่อนายกูมะรุสดีหรือกูดี ต่วนสาและกับพวกรวม 2 คน เว้นแต่ลายมือชื่อผู้ต้องหาในแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.4 จึงมีลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองเพิ่มเติมขึ้นมาภายหลัง สำหรับนายกูมะรุสดีหรือกูดีต่วนสาและ นั้น โจทก์มิได้นำสืบว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยคนใดหรือไม่ กลับได้ความจากคำให้การในชั้นสอบสวนของนายมะและนายสาการียาว่าเป็นบุคคลคนละคนกับจำเลยทั้งสองตามบันทึกคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.7 และ จ.9 และที่ร้อยตำรวจโทพีระเดช กับพันตำรวจโทเลอพงศ์เบิกความว่า ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพตามบันทึกการจับกุม บันทึกคำให้การของผู้ต้องหา ภาพถ่ายผู้ต้องหาชี้ยืนยันอาวุธปืนและรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการกระทำผิดภาพถ่ายผู้ต้องหานำชี้ที่เกิดเหตุทำแผนประทุษกรรมประกอบคำรับสารภาพ เอกสารหมาย จ.11 จ.18 ถึง จ.22 และ จ.5ตามลำดับนั้น นายมะ หะแว ก็เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า ตอนเจ้าหน้าที่ตำรวจพาจำเลยไปทำแผนที่เกิดเหตุนายมะอยู่ด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจสั่งให้จำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุ การนำชี้ของจำเลยเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนสั่งให้ทำทั้งนั้น สอดคล้องกับนายสาการียาที่เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองถามค้านว่า เห็นจำเลยทั้งสองตอนเจ้าหน้าที่ตำรวจพาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนใช้ให้จำเลยทั้งสองทำแผน โดยขู่เข็ญให้จำเลยทั้งสองทำแผนจำเลยทั้งสองจึงชี้และทำแผนตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจขู่ จึงเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยทั้งสองที่ว่าจำเลยทั้งสองรับสารภาพต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะถูกขู่เข็ญ คำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจึงเป็นคำรับสารภาพที่ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจใช้ยันจำเลยทั้งสองไม่ได้ พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองต้องกันมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3