คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 879/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่3กับพวกถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับพร้อมเมทแอมเฟตามีน80,000เม็ดนับว่าของกลางมีจำนวนมากถือได้ว่าเป็นผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่จำเลยที่3รับราชการครูซึ่งสังคมถือว่าเป็นปูชนียบุคคลจึงสมควรประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กและเยาวชนแต่จำเลยที่3กลับกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนเสียเองศาลกำหนดโทษจำคุกจำเลยที่3มีกำหนด50ปีตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ.2518มาตรา89ประกอบพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ.2534มาตรา10,12ซึ่งเป็นบทลงโทษข้าราชการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นแต่ให้กำหนดโทษจำคุกอย่างสูงได้ไม่เกิน50ปีแล้วลดโทษให้จำเลยที่3กึ่งหนึ่งคงจำคุก25ปีเหมาะสมแก่ความผิดแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ, 62,89, 106, 106 ทวิ, 116 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 3, 7, 10พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 371 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางและคืนอาวุธปืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลย ทั้ง สี่ ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ, 116พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 83, 91เรียงกระทงลงโทษ ฐานขายและมีไว้เพื่อขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนด เป็นความผิดกรรมเดียวกัน ให้ลงโทษตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 จำคุกคนละ 20 ปี ฐานพาอาวุธปืนปรับคนละ 2,000 บาท รวมจำคุกคนละ 20 ปี และปรับคนละ 2,000 บาทจำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง,89, 106 ทวิ, 116 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 3, 10 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ฐานเป็นข้าราชการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดขายและมีไว้เพื่อขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนดเป็นความผิดกรรมเดียวกัน ให้ลงโทษตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89ประกอบพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 10, 12 จำคุก 50 ปี จำเลยที่ 4มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง, 89,106 ทวิ, 116 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 เรียงกระทงลงโทษ ฐานขายและมีไว้เพื่อขายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนดเป็นความผิดกรรมเดียวกัน ให้ลงโทษตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89จำคุก 20 ปี ฐานมีเครื่องกระสุนปืน ปรับ 1,000 บาท รวมจำคุก20 ปี ปรับ 1,000 บาท จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2คนละ 10 ปี และปรับคนละ 1,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด25 ปี และจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 10 ปี และปรับ 500 บาทไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ส่วนอาวุธปืนของกลางให้คืนแก่เจ้าของ
จำเลย ที่ 3 อุทธรณ์ ขอให้ ลงโทษ สถาน เบา
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 3 ฎีกา ขอให้ ลงโทษ สถาน เบา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4มิได้อุทธรณ์ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 3 ว่ามีเหตุสมควรที่จะลงโทษจำเลยที่ 3 สถานเบาได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงสำหรับจำเลยที่ 3 ฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 3 รับราชการครู ตามวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 3กับจำเลยอื่นได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับพร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนของกลาง 400 ถุง จำนวน 80,000 เม็ด น้ำหนักรวม 7,467 กรัมคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 1,575 กรัม ได้ที่บริเวณโรงแรมบูรพาอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ขณะที่กำลังส่งมอบของแก่สายลับผู้ล่อซื้อ ชั้นพิจารณาจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 ตามฟ้องโจทก์ จำคุก 50 ปีจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งจำคุก 25 ปีจำเลยที่ 3 อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า ไม่เคยกระทำผิดมาก่อนและได้สำนึกความผิดแล้ว จำเลยที่ 3 เคยรับราชการครูมีความดีความชอบได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ประกอบกับจำเลยที่ 3มีบุตรภริยาที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดู โทษที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดหนักเกินไป เห็นว่า จำเลยที่ 3 กับพวกถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับขณะกำลังส่งมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนถึง 80,000 เม็ดแก่ผู้ล่อซื้อ นับว่าของกลางมีจำนวนมาก ถือได้ว่าจำเลยที่ 3กับพวกร่วมกันเป็นผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 3รับราชการครูซึ่งสังคมถือว่าเป็นปูชนียบุคคล จึงสมควรประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กและเยาวชน แต่จำเลยที่ 3 กลับกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนเสียเอง ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 50 ปีตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 89 ประกอบพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 10, 12 ซึ่งเป็นบทลงโทษข้าราชการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น แต่ให้กำหนดโทษจำคุกอย่างสูงได้ไม่เกิน 50 ปี แล้วลดโทษให้จำเลยที่ 3กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 25 ปี เหมาะสมแก่ความผิดแล้ว ข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ไม่สามารถลบล้างความผิดที่จำเลยที่ 3กระทำลงได้ ไม่มีเหตุที่จะลงโทษจำเลยที่ 3 ในสถานเบา คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 3ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share