คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1317/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิด โดยอ้างว่าจำเลยให้คนไปแจ้งความว่าโจทก์ทำผิดทางอาญาเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนจับกุมคุมขังโจทก์ไว้สอบสวน ทั้งนี้โดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยที่เชื่อถ้อยคำของผู้มาบอก ดังนี้เป็นการฟ้องหาว่าละเมิดตามธรรมดา ไม่ใช่ละเมิดในมูลอันเป็นความผิดทางอาญา จึงมีอายุความฟ้องร้องเพียง 1 ปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพนักงานโรงงานยาสูบจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือมอบฉันทะให้คนไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษโจทก์กับคนอื่น เป็นความอาญาว่าโจทก์กับพวกรู้เห็นร่วมมือกระทำการฉ้อโกงทรัพย์ของโรงงานยาสูบ ฯลฯ เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนได้จับคุมขังโจทก์ไว้ทำการสอบสวน ทั้งนี้เพราะเหตุจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อโดยเชื่อถ้อยคำของจำเลยที่ 2 ซึ่งปราถนาจะแกล้งโจทก์ให้ต้องรับโทษโดยปราศจากความจริง จึงขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ฯลฯ

ศาลแพ่งวินิจฉัยว่า คดีขาดอายุความละเมิด 1 ปี แล้วจึงพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเฉพาะจำเลยที่ 2 ส่วน จำเลยที่ 1 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ได้จัดการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนได้จับกุมคุมขังโจทก์นั้น จะถือว่าเป็นข้อความที่กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดในทางอาญาฐานกระทำให้เสื่อมเสียอิสสระภาพมิได้เพราะเป็นเรื่องในอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ฉะนั้นจะถือว่าฟ้องโจทก์เรียกค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามิได้จึงมิเข้าอยู่ในวรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448

คดีจึงขาดอายุความ 1 ปี พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย ฯลฯ

Share