แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยทั้งสองเดินมาที่กลุ่มผู้ตาย และจำเลยที่ 1 ใช้ขวดสุราตีที่ศีรษะผู้ตาย 1 ครั้ง ผู้ตายลุกขึ้นยืน จำเลยที่ 2 ส่งมีดปลายแหลมให้จำเลยที่ 1 พร้อมกับพูดให้จำเลยที่ 1 แทงผู้ตาย จำเลยที่ 1 ก็รับมีดปลายแหลมจากจำเลยที่ 2 มาแทงผู้ตายที่บริเวณหน้าอก 1 ครั้ง แล้วจำเลยทั้งสองหลบหนีไปด้วยกัน ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายด้วย หาใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83, 33 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบกับมาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 15 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสามและหนึ่งในสี่ตามลำดับ คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 11 ปี 3 เดือน ริบของกลาง
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ใช้มีดปลายแหลมแทงนายบุญลือ ผู้ตาย ที่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายลึกถึงปอด จนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.3 คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ในปัญหานี้โจทก์มีนายวิจิต นายบุญเลี้ยง นายวินัย และนายยุทธนา เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 2 นาฬิกาขณะที่กลุ่มของพยานทั้งสี่และผู้ตายกับพวกนั่งดูลิเกในงานฉลองอัฐิที่บ้านหนองนาตำบลพลสงคราม อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา มีกลุ่มของจำเลยทั้งสองกับพวกนั่งดูลิเกและดื่มสุราด้วย แต่อยู่ห่างกัน 4 เมตร จำเลยที่ 2 เดินมาถามผู้ตายว่าใครมีเรื่องกับจำเลยที่ 1 ผู้ตายตอบว่าไม่มี จำเลยที่ 2 ก็เดินกลับไป สักครู่จำเลยทั้งสองเดินมาที่กลุ่มของผู้ตายและจำเลยที่ 1 ใช้ขวดสุราตีที่ศีรษะผู้ตาย 1 ครั้ง ผู้ตายลุกขึ้นยืน จำเลยที่ 2 ส่งมีดปลายแหลมให้จำเลยที่ 1 พร้อมกับพูดว่า “เมี้ยนแทงมันเลย” จำเลยที่ 1 รับมีดแล้วใช้มีดดังกล่าวแทงผู้ตายที่บริเวณหน้าอก 1 ครั้ง และพากันหลบหนีไปด้วยกัน เห็นว่า คดีนี้เหตุเกิดเวลากลางคืน แต่บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากหลอดไฟที่หน้าเวทีการแสดงลิเกและร้านค้ากับแสงสว่างจากสปอทไลท์ซึ่งติดอยู่ที่รถยนต์โดยสารของคณะลิเกสามารถมองเห็นกันได้ชัดเจน ทั้งขณะเกิดเหตุพยานโจทก์ดังกล่าวนั่งอยู่กับผู้ตายจึงอยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ แม้จะมีเสียงดังจากการแสดงลิเกผ่านลำโพงอยู่บ้างก็เชื่อได้ว่าพยานโจทก์ดังกล่าวได้ยินและได้เห็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับผู้ตาย ดังนั้น ที่พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความยืนยันว่า เห็นจำเลยที่ 2 ส่งมีดปลายแหลมให้จำเลยที่ 1 แล้วได้ยินจำเลยที่ 2 พูดว่า “เมี้ยนแทงมันเลย” จำเลยที่ 1 จึงรับมีดปลายแหลมจากจำเลยที่ 2 มาแทงผู้ตายนั้น จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ พยานจำเลยที่ 2 ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานโจทก์ การที่จำเลยทั้งสองเดินมาที่กลุ่มผู้ตาย และจำเลยที่ 1 ใช้ขวดสุราตีที่ศีรษะผู้ตาย 1 ครั้ง ผู้ตายลุกขึ้นยืน จำเลยที่ 2 ส่งมีดปลายแหลมให้จำเลยที่ 1 พร้อมกับพูดให้จำเลยที่ 1 แทงผู้ตาย จำเลยที่ 1 ก็รับมีดปลายแหลมจากจำเลยที่ 2 มาแทงผู้ตายที่บริเวณหน้าอก 1 ครั้ง แล้วจำเลยทั้งสองหลบหนีไปด้วยกัน ดังนี้ ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายด้วย หาใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนดังที่จำเลยที่ 2 ฎีกาไม่
ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 มีอัตราโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วางโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 15 ปี เป็นการวางโทษขั้นต่ำตามกฎหมายไม่อาจวางโทษให้ต่ำลงกว่านี้ได้ นอกจากนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังใช้ดุลพินิจลดโทษให้จำเลยที่ 2 อีกหนึ่งในสี่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 มากแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน