แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจะยกขึ้นฎีกาหาได้ไม่
โจทก์จำเลยนำชี้ที่พิพาทและต่างก็รับรองแผนที่พิพาทว่าถูกต้อง เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ จำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นที่ดินนอกฟ้อง ดังนี้ที่ดินที่โจทก์หาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกก็คือที่พิพาทตามที่ปรากฏในแผนที่พิพาท มิใช่พิพาทในที่แปลงอื่น จึงไม่ใช่เรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
ครั้งแรกศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ไม่ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี จึงขาดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าโจทก์ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้อง ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามประเด็นที่กำหนดไว้ จำเลยไม่ฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ก็มิได้พิพากษาในประเด็นข้อนี้ ประเด็นเรื่องอายุความเอาคืนซึ่งการครอบครองจึงยุติ จำเลยจะยกขึ้นฎีกาอีกไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เนื้อที่ ๙ ไร่ ๗๖ ตารางวา จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปปลูกโรงสังกะสีเล็ก ๆ แล้วตั้งเครื่องฉุดระหัดวิดน้ำ โจทก์ห้ามปราม จำเลยกลับชี้เขตเถียงกรรมสิทธิ์รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์กว้างประมาณ ๒ วา ยาวประมาณ ๒๐ วา เนื้อที่ประมาณ ๔๐ ตารางวา ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยปลูกโรงในที่ดินของจำเลย ที่ดินของจำเลยเดิมเป็นของนางสนุ่นซึ่งใช้ทำนาเกลือมาช้านาน เมื่อรังวัดขอรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) โจทก์มอบให้นายกระจ่างผู้ใหญ่บ้านท้องที่ที่ดินตั้งอยู่ไประวังแนวเขต ก่อนโจทก์ฟ้อง เจ้าพนักงานที่ดินได้ไกล่เกลี่ยเพื่อระงับข้อพิพาทและได้รังวัดสอบเขตที่ดิน ปรากฏว่าจำเลยมิได้ปลูกเรือนโรงทำร่องน้ำล้ำที่ดินของโจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องคดีเป็นเวลาเกิน ๑ ปีนับแต่วันจำเลยบุกรุกจึงเสียสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครอง ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามประเด็นที่กำหนดไว้
ศาลชั้นต้นพิจารณาตามประเด็นที่กำหนดใหม่แล้ว พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ และเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามยกขึ้นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ จึงไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์หาว่า จำเลยบุกรุกและปลูกโรงเครื่องสูบน้ำในที่โจทก์ทางด้านทิศตะวันออก แต่โจทก์นำชี้ทำแผนที่พิพาท และนำสืบว่า จำเลยบุกรุกและปลูกโรงในที่โจทก์ทางด้านทิศใต้ จึงเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น ข้อนี้ตามแผนที่พิพาทที่โจทก์จำเลยนำชี้ ปรากฏว่าที่ดินโจทก์ด้านทิศใต้ติดกับด้านเหนือของที่ดินจำเลย ที่พิพาทและโรงที่ว่าจำเลยปลูกอยู่ทางด้านใต้ที่ดินโจทก์ โจทก์จำเลยต่างรับรองแผนที่พิพาทว่าถูกต้อง เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินของโจทก์หรือไม่ จำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินนอกฟ้อง และจำเลยที่ ๑ ก็เบิกความรับว่า ที่ดินของจำเลยด้านเหนือติดกับที่ดินของโจทก์ทางด้านใต้ เหตุนี้ที่ดินโจทก์ที่หาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกกับโรงที่ปลูกขึ้น ก็คือที่พิพาทและโรงตามที่ปรากฏในแผนที่พิพาท มิใช่พิพาทในที่แปลงอื่น จึงไม่ใช่เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
ประเด็นเรื่องสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครอง ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาครั้งแรกว่า โจทก์ไม่ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน ๑ ปี จึงขาดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครอง ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้อง ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามประเด็นที่กำหนดไว้ จำเลยทั้งสองมิได้ฎีกา และเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ ก็มิได้พิพากษาในประเด็นข้อนี้ ประเด็นดังกล่าวจึงเป็นอันยุติ จำเลยทั้งสองจะยกขึ้นฎีกาอีกไม่ได้ และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์
พิพากษายืน