คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1254/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลแขวงในข้อหาว่าฉ้อโกงและเรียกเงินคืนจากจำเลยด้วยศาลแขวงวินิจฉัยแต่เพียงว่า จำเลยไม่ได้ใช้อุบายหลอกลวงเอาความเท็จมากล่าว ทั้งมิได้ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรแจ้งให้ทราบ คดีไม่มีทางลงโทษจำเลยทางอาญา ส่วนประเด็นที่ว่าเงิน 6,300 บาทที่โจทก์ไปไถ่ถอยจำนองจะเป็นเงินของโจทก์หรือไม่และจำเลยจะได้รับเงินอีก 700 บาทจากโจทก์หรือไม่ ศาลแขวงกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยแสดงว่าประเด็นข้อนี้ศาลแขวงยังไม่ได้วินิจฉัยโจทก์มาฟ้องเรียกเงินจำนวน 7,000 บาทที่ศาลจังหวัดอีก ดังนี้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ข้อที่จำเลยอ้างว่าการนำพยานบุคคลเข้าสืบหักล้างพยานเอกสาร เป็นการนำสืบที่ไม่ชอบนั้น จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เมื่อไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนย่อมต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงโจทก์ว่า จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ ๑๐๓ และเรือน ๒ ห้องในโฉนด ได้เอาไปจำนองพันตรีเงิน วีระพัฒนกุล เป็นเงิน ๖,๓๐๐ บาท ให้โจทก์ไถ่จำนองแล้วจะโอนให้โจทก์ โดยตกลงซื้อขายกัน ๑๘,๐๐๐ บาท โจทก์จำเลยไปไถ่จำนองกับพันตรีเงินแล้วเป็นเงิน ๖,๗๐๐ บาท โจทก์จ่ายเงินค่าธรรมเนียมในการโอนให้จำเลยอีก ๗๐๐ บาท โจทก์จำเลยตกลงถือว่าเงิน ๗,๐๐๐ บาทเป็นส่วนหนึ่งของราคาแล้วโจทก์จำเลยไปที่หอทะเบียที่ดินเพื่อทำการโอน เจ้าพนักงานที่ดินว่ายังโอนไม่ได้ เพราะที่ดินโฉนดดังกล่าวมีชื่อนายสุวรรณ คูณพงษ์ ร่วมด้วย ถ้าจะโอนต้องแบ่งโฉนด โจทก์ขอเงินคืน จำเลยก็ไม่ให้ โจทก์ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีฐานฉ้อโกง ศาลแขวงอุบลราชธานีพิพากษาว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาฏ้อโกงโจทก์พิพากษายกฟ้อง จึงขอให้บังคับให้จำเลยขำระเงิน ๗,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมกับดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ได้เอาเงินของจำเลยไถ่ถอนการจำนอง ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาที่ศาลแขวง ฯ ยกฟ้อง ในการจะซื้อขายที่พิพาทไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ที่โจทก์อ้างว่าชำระหนี้บางส่วนให้จำเลย โจทก์ไม่มีใบรับเป็นหนังสือ จะนำสืบการใช้เงินไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์ได้ชำระหนี้แล้วเป็นบางส่วน ไม่ต้องห้ามในการฟ้องร้อง กับฟังว่าโจทก์ได้จ่ายเงินให้จำเลยไป ๗,๐๐๐ บาท เป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดินที่โจทก์จะซื้อจากจำเลยจริง พิพากษาให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ ๗,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้จ่ายเงิน ๗,๐๐๐ บาทให้แก่จำเลย ข้อที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ปรากฏตามสำนวนคดีอาญาแดงที่ ๑๑๗๙/๒๕๐๖ ของศาลแขวงฯ ศาลแขวงฯ วินิจฉัยแต่เพียงว่าจำเลยไม่ได้ใช้อุบายหลอกลวงเอาความเท็จมากล่าว ทั้งมิได้ปกปิดข้อความจริงซึ่งคงแจ้งให้ทราบ คดีจึงไม่มีทางลงโทษจำเลยทางอาญาได้เท่านั้น ส่วนเงิน ๖,๓๐๐ บาทที่โจทก์ไปไถ่ถอนจำนองจะเป็นเงินของโจทก์หรือไม่ และจำเลยจะได้รับเงินอีก ๗๐๐ บาทจากโจทก์หรือไม่นั้น ศาลแขวงกล่าวไว้ในคำพิพากษาว่า ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยแสดงว่าประเด็นข้อนี้ศาลแขวงอุบลราชธานียังไม่ได้วินิจฉัยเลย ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า การที่โจทก์นำพยานบุคคลเข้าเบิกความประกอบคำเบิกความของพันตรีเงินเพื่อให้เห็นว่า โจทก์ได้จ่ายเงิน ๗,๐๐๐ บาท เพื่อไถ่ถอนจำนองและค่าธรรมเนียมโอนเป็นการนำพยานเข้าสืบหักล้างพยานเอกสาร เป็นการนำสืบที่ไม่ชอบนั้น ปรากฏว่าจำเลยไม่ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ เมื่อไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็เป็นปัญหาต้องห้ามตามมาตรา + แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share