คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 867/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน เมื่อหย่าขาดจากกัน จำเลยยอมเป็นผู้ออกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร และทำหนังสือสัญญากันไว้เป็นหลักฐาน เป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งอาจจะมีขึ้น สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ซึ่งกฎหมายบังคับให้มีหลักฐานเป็นหนังสือ
จำเลยขอนำสืบว่า โจทก์ได้ตกลงยินยอมด้วยปากให้จำเลยชำระเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรต่ำกว่าที่ตกลงกันไว้สัญญาประนีประนอม เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตามกฎหมาย
จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ ที่จำเลยขอนำสืบข้อต่อสู้นั้นจึงเป็นการขอนำสืบนอกประเด็น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรซึ่งจำเลยยอมจ่ายให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมเมื่อจำเลยไม่ปฏบัติตามสัญญา โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องในนามของโจทก์เอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน ๒ คนโจทก์กับจำเลยได้ตกลงหย่าขาดจากกันโดยจำเลยตกลงให้โจทก์เป็นฝ่ายเลี้ยงดูบุตรทั้งสองจำเลยทำสัญญาจ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรให้แก่โจทก์ทุก ๆ เดือน แต่จำเลยจ่ายให้ไม่ครบ โจทก์ทวงถามจำเลยก็ปฏิเสธ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยสู้ว่า จำเลยได้จ่ายเงินให้บุตรทุกเดือน เป็นการให้โดยเสน่หาและโดยหน้าที่ศีลธรรม และตามความเหมาะสมแก่ความจำเป็นของบุตร โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีในนามส่วนตัว ขอให้ศาลยกฟ้อง
โจทก์จำเลยแถลงรับกันแล้ว จำเลยขอสืบพยานว่า โจทก์ยินยอมรับเงินจากจำเลยเดือนละ ๘๐๐ บาท มิใช่ครึ่งหนึ่งของเงินเดือนตามสัญญา
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ การแก้ไขข้อปฏิบัติต่อกันในสัญญาเป็นประการอื่น ต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร จำเลยจะนำสืบแก้ไขข้อความในสัญญาไม่ได้ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ตามทที่รับกันพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยาและมีบุตรด้วยกัน เมื่อหย่าขาดจากกัน จำเลยยอมเป็นผู้ออกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร และทำหนังสือสัญญากันไว้เป็นหลักฐาน เป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งอาจจะมีขึ้น สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมซึ่งกฎหมายบังคับให้มีหลักฐานเป็นหนังสือ การขอนำสืบของจำเลยเป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตามกฎหมาย และประเด็นที่ว่าโจทก์ได้ยินยอมตกลงให้จำเลยชำระเงินเดือนละ ๘๐๐ บาท จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ จึงเป็นการขอนำสืบนอกประเด็น โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร โดยอาศัยสัญญาประนีประนอม มิใช่ไม่ประสงค์เรียกเงินตามสัญญาประนีประนอม และโจทก์มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยทำสัญญาประนีประนอมกับโจทก์
พิพากษายืน

Share