คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15697/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างจึงมีภาระการพิสูจน์ว่า รายชื่อและข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 เอาไปนั้นคือข้อมูลใดและเป็นความลับทางการค้าของโจทก์อย่างไร โจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าข้อมูลดังกล่าวมีลักษณะพิเศษอย่างไรจึงเป็นข้อมูลการค้าซึ่งยังไม่รู้จักกันโดยทั่วไป แต่กลับได้ความจากพยานโจทก์ว่า รายชื่อลูกค้าอาจได้มาจากสื่อสิ่งพิมพ์ที่บริษัทต่างๆ ลงประกาศรับสมัครงานหรือจากเว็บไซต์ ดังนั้นรายชื่อลูกค้า ชื่อคนติดต่อ และหมายเลขโทรศัพท์ รวมทั้งที่อยู่ทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ของลูกค้าจึงเป็นเพียงข้อมูลการค้าทั่วไปเท่านั้น แม้จะมีประโยชน์ในทางพาณิชย์ต่อโจทก์อยู่บ้างแต่ก็ไม่เป็นความลับทางการค้าเพราะไม่มีคุณค่าทางพาณิชย์ตามความหมายใน พ.ร.บ.ความลับทางการค้า พ.ศ.2545 มาตรา 3 เนื่องจากข้อมูลการค้าที่มีประโยชน์ในทางพาณิชย์ดังกล่าวต้องมีผลต่อการดำรงคงอยู่ของธุรกิจการค้าที่กระทำอยู่หรือที่กำลังจะทำต่อไปในอนาคต หรือการดำรงคงอยู่ของธุรกิจนั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลดังกล่าวเป็นสำคัญ และผู้เป็นเจ้าของข้อมูลการค้าได้ใช้เวลาและความพยายามกับค่าใช้จ่ายจำนวนมากเพื่อจะได้ข้อมูลนั้นมา ซึ่งคู่แข่งทางการค้าที่ได้ข้อมูลนี้ไปโดยไม่ชอบจะทุ่นเวลาและแรงงานในการหาหรือเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวเป็นอย่างมาก และทำให้เจ้าของความลับเสียเปรียบในทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มีรหัสให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ แต่เมื่อข้อมูลการค้าดังกล่าวบุคคลหรือบริษัทซึ่งประกอบธุรกิจรับจัดหางานทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ไม่ว่าจะทางสื่อสิ่งพิมพ์หรือเว็บไซต์ต่างๆ ได้ จึงถือไม่ได้ว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นความลับทางการค้าซึ่งโจทก์มีสิทธิในการเปิดเผยหรือใช้เพียงผู้เดียวตาม พ.ร.บ.ความลับทางการค้าฯ มาตรา 5 การที่จำเลยที่ 2 นำชื่อลูกค้าของโจทก์ไปประกาศโฆษณาในอินเตอร์เน็ต หรือการที่จำเลยที่ 2 รับจัดหาพนักงานให้บริษัทซึ่งเป็นลูกค้าของโจทก์จึงไม่ใช่การละเมิดสิทธิในความลับทางการค้าของโจทก์ตาม พ.ร.บ.ความลับทางการค้าฯ มาตรา 6
ส่วนสัญญาและกลยุทธ์ทางการค้าที่โจทก์นำสืบว่าเป็นความลับทางการค้าของโจทก์นั้น โจทก์ไม่ได้บรรยายในฟ้องและไม่สามารถนำสืบได้ว่ากลยุทธ์และสัญญาของโจทก์มีลักษณะที่พิเศษแตกต่างจากกลยุทธ์และสัญญาอื่นๆ อย่างไร หากกลยุทธ์ดังกล่าวเป็นความชำนาญหรือทักษะเฉพาะตัวของจำเลยที่ 1 ที่เกิดจากการทำงานกับโจทก์ก็มิใช่ความลับทางการค้าและจำเลยที่ 1 มีสิทธินำความชำนาญและทักษะดังกล่าวไปใช้ทำงานที่อื่นได้หากไม่มีการจำกัดสิทธิดังกล่าวในสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 หยุดประกอบกิจการค้า และห้ามมิให้จำเลยทั้งสองละเมิดสิทธิในความลับทางการค้าของโจทก์อีกต่อไป กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 2,400,000 บาท
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่ามีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า รายชื่อและข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทลูกค้าของโจทก์ที่ประสงค์จะว่าจ้างพนักงานเป็นความลับทางการค้าและจำเลยทั้งสองร่วมกันละเมิดความลับทางการค้าดังกล่าวของโจทก์อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ.2545 มาตรา 3 นิยาม “ความลับทางการค้า” หมายความว่า ข้อมูลการค้าซึ่งยังไม่รู้จักกันโดยทั่วไป หรือยังเข้าถึงไม่ได้ในหมู่บุคคลซึ่งโดยปกติแล้วต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูลดังกล่าว โดยเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เนื่องจากการเป็นความลับและเป็นข้อมูลที่ผู้ควบคุมความลับทางการค้าได้ใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อรักษาไว้เป็นความลับ โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างจึงมีภาระการพิสูจน์ให้เห็นว่ารายชื่อและข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 เอาไปนั้นคือข้อมูลใดและเป็นความลับทางการค้าของโจทก์อย่างไร ซึ่งในข้อนี้โจทก์มีเพียงนายลักษณ์ กรรมการผู้จัดการโจทก์มาเบิกความเพียงว่า ข้อมูลที่จำเลยทั้งสองเอาไปเป็นรายชื่อลูกค้าและข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับลูกค้าของโจทก์ โดยไม่มีรายละเอียดว่าข้อมูลต่าง ๆ ที่เบิกความนั้นมีข้อมูลอะไรบ้าง แม้พยานดังกล่าวจะเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยทั้งสองว่า เป็นรายชื่อลูกค้า ชื่อคนติดต่อ หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ สัญญาและกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ แต่ก็ไม่นำสืบให้เห็นว่าข้อมูลดังกล่าวมีลักษณะพิเศษอย่างไรจึงเป็นข้อมูลการค้าซึ่งยังไม่รู้จักกันโดยทั่วไป หรือเป็นข้อมูลซึ่งบริษัทที่ให้บริการจัดหาบุคคลเข้าทำงานเช่นเดียวกับโจทก์เข้าถึงข้อมูลไม่ได้ เช่น เป็นรายชื่อผู้สมัครงานในตำแหน่งต่าง ๆ ที่โจทก์รับสมัครไว้เพื่อนำไปเสนอให้แก่บริษัทที่เป็นลูกค้าของโจทก์ ซึ่งรายชื่อผู้สมัครงานเหล่านี้หากโจทก์ได้ขวนขวายหามาและรวบรวมเป็นหมวดหมู่โดยที่ยังไม่เคยเปิดเผยก็เป็นความลับทางการค้าได้ แต่กลับได้ความจากคำเบิกความของนายลักษณ์พยานโจทก์ว่า รายชื่อลูกค้าอาจได้มาจากสื่อสิ่งพิมพ์ที่บริษัทต่างๆ ลงประกาศรับสมัครงานหรือจากเว็บไซต์ ดังนั้นรายชื่อลูกค้า ชื่อคนติดต่อและหมายเลขโทรศัพท์ รวมทั้งที่อยู่ทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ของลูกค้าจึงเป็นเพียงข้อมูลการค้าทั่วไปเท่านั้น แม้จะมีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ต่อโจทก์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นความลับทางการค้าเพราะไม่มีคุณค่าทางพาณิชย์ตามความหมายในพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ.2545 มาตรา 3 เนื่องจากข้อมูลการค้าที่มีประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ตามมาตราดังกล่าวต้องเป็นข้อมูลการค้าที่มีผลต่อการดำรงคงอยู่ของธุรกิจการค้าที่กระทำอยู่หรือที่กำลังจะทำต่อไปในอนาคต หรือการดำรงคงอยู่ของธุรกิจนั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลดังกล่าวเป็นสำคัญ และผู้เป็นเจ้าของข้อมูลการค้าได้ใช้เวลาและความพยายามกับค่าใช้จ่ายจำนวนมากเพื่อจะได้ข้อมูลนั้นมา ซึ่งคู่แข่งทางการค้าที่ได้ข้อมูลนี้ไปโดยไม่ชอบจะทุ่นเวลาและแรงงานในการหาหรือเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวเป็นอย่างมาก และทำให้เจ้าของความลับเสียเปรียบในทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งในข้อนี้จำเลยทั้งสองก็นำสืบโต้แย้งด้วยว่า รายชื่อลูกค้าและหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อเป็นข้อมูลทั่วไปซึ่งหาได้ทั่วไปในสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ และทางเว็บไซต์ ดังนั้นแม้ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ซึ่งจำเลยทั้งสองไม่โต้แย้งรับฟังได้ว่า โจทก์จะมีรหัสให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่ต้องการให้พนักงานทั่วไปเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้โดยง่ายและข้อมูลการค้าดังกล่าวอาจถือว่าเป็นความลับของโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อข้อมูลการค้าดังกล่าวบุคคลหรือบริษัทซึ่งประกอบธุรกิจรับจัดหางานทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ไม่ว่าจะทางสื่อสิ่งพิมพ์หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ จึงถือไม่ได้ว่า รายชื่อลูกค้า ชื่อคนติดต่อ หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นความลับทางการค้าซึ่งโจทก์มีสิทธิในการเปิดเผยหรือใช้เพียงผู้เดียวตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ.2545 การที่จำเลยที่ 2 นำชื่อลูกค้าของโจทก์ไปประกาศโฆษณาในอินเทอร์เน็ต หรือการที่จำเลยที่ 2 รับจัดหาพนักงานให้บริษัทซึ่งเป็นลูกค้าของโจทก์จึงไม่ใช่การละเมิดสิทธิในความลับทางการค้าของโจทก์ตามพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ.2545 มาตรา 6 ส่วนสัญญาและกลยุทธ์ทางการค้าที่โจทก์นำสืบว่าเป็นความลับทางการค้าของโจทก์นั้น โจทก์ไม่ได้บรรยายในฟ้องและไม่สามารถนำสืบได้ว่ากลยุทธ์และสัญญาของโจทก์มีลักษณะที่พิเศษแตกต่างจากกลยุทธ์และสัญญาอื่น ๆ อย่างไรจึงมีลักษณะเป็นความลับทางการค้า หากกลยุทธ์ดังกล่าวเป็นความชำนาญหรือทักษะเฉพาะตัวของจำเลยที่ 1 ที่เกิดจากการทำงานกับโจทก์ก็มิใช่ความลับทางการค้าและจำเลยที่ 1 มีสิทธินำความชำนาญและทักษะดังกล่าวไปใช้ทำงานที่อื่นได้หากไม่มีการจำกัดสิทธิดังกล่าวในสัญญา พยานหลักฐานที่จำเลยทั้งสองนำสืบมามีน้ำหนักรับฟังได้ยิ่งกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ จึงรับฟังไม่ได้ว่ารายชื่อลูกค้าและข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับลูกค้าของโจทก์ตามที่โจทก์นำสืบมาเป็นความลับทางการค้าของโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงไม่ได้ร่วมกันละเมิดความลับทางการค้าของโจทก์ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 5112/2553 ของศาลแรงงานกลางนั้น ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share