คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13706/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ จำเลยและทายาททำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดการมรดกของทายาทตระกูล อ. ว่าจำเลยเพียงผู้เดียวจะรับผิดในหนี้สินที่มีอยู่กับธนาคาร โดยทายาทยินยอมยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย และให้กิจการขายรถจักรยานยนต์บริษัท บ. จำกัด พร้อมหนี้สินทั้งหมดที่มีอยู่เกี่ยวกับกิจการดังกล่าวให้จำเลยเป็นผู้รับผิดชอบเพียงผู้เดียว โดยให้กิจการเป็นของจำเลย ข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกและหนี้สินเพื่อระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 เมื่อจำเลยชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเสร็จสิ้น จำเลยย่อมมีสิทธิในที่ดินตามบันทึกข้อตกลง
ฟ้องเดิมของโจทก์เป็นเรื่องที่ว่า โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรมของ จ. ขอแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ จ. โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 39247 ซึ่งเป็นมรดกของ จ. ให้แก่บุคคลภายนอกในราคา 1,113,900 บาท และได้แบ่งปันให้ทายาทโดยธรรมบางส่วนแล้วยกเว้นจำเลยกับทายาทบางคนยังไม่ได้รับส่วนแบ่ง และมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์และทายาทโดยธรรมทุกคนในอัตราส่วนคนละเท่า ๆ กัน ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยขอให้โจทก์แบ่งทรัพย์มรดกคือที่ดินโฉนดเลขที่ 39247 ที่โจทก์ขายไปและกล่าวไว้ในฟ้องเดิมว่ายังไม่ได้แบ่งให้จำเลย การที่จำเลยฟ้องแย้งขอแบ่งทรัพย์มรดกรายเดียวกันกับที่โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องเดิม จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ชอบที่จะว่ากล่าวให้เสร็จสิ้นในคดีเดียวกัน จำเลยไม่จำต้องแยกไปฟ้องเป็นคดีต่างหากตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์และทายาททุกคนจากทรัพย์มรดก 44,882,000 บาท ในอัตราส่วนเท่าๆ กัน ถ้าการแบ่งทรัพย์มรดกไม่เป็นที่ตกลงกัน ให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์และทายาทโดยธรรมทุกคนในอัตราส่วนเท่าๆ กัน หากจำเลยปิดบังทรัพย์มรดกไว้เท่าส่วนที่ตนจะได้หรือมากกว่า ขอให้กำจัดมิให้จำเลยได้รับมรดกรายนี้ หากปิดบังไว้น้อยกว่าส่วนที่ตนจะได้ขอให้กำจัดไม่ให้จำเลยได้รับมรดกเฉพาะส่วนที่ปิดบัง โดยให้ตกแก่ทายาทโดยธรรม หากทรัพย์มรดกตามฟ้องไม่ใช่ของนางจิตตรา แต่เป็นทรัพย์มรดกของนายวีระพลก็ให้จำเลยโอนทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายวีระพล หากไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากจำเลยไม่สามารถแบ่งมรดกหรือโอนทรัพย์มรดกให้ทายาทได้ หรือโอนทรัพย์มรดกคืนให้แก่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกนายวีระพลไม่ได้ก็ให้จำเลยชำระราคาที่ดินตามราคาประเมินหรือตามราคาทรัพย์มรดก
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินส่วนแบ่งมรดก 85,648.61 บาท แก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 30919 ตำบลแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร โฉนดเลขที่ 123082 ตำบลบางนาอำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร โฉนดเลขที่ 84222 ตำบลบางนา อำเภอพระโขนงนครหลวงกรุงเทพธนบุรี โฉนดเลขที่ 33908 ตำบลบางจาก อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร โฉนดเลขที่ 84214 และ 84216 ตำบลบางนา อำเภอพระโขนงกรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ 1 ใน 13 ส่วน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องแย้งจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนที่ให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 84214 และ 84216 ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร ให้โจทก์ชำระเงิน 76,000 บาท แก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 84214 และ 84216 ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร เป็นทรัพย์มรดกที่จำเลยจะต้องแบ่งให้แก่โจทก์ตามส่วนและทายาทอื่นหรือไม่ เห็นว่า บันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดการมรดกของทายาทตระกูลอรุณนาวีศิริ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2545 ความว่า จำเลยเพียงผู้เดียวจะรับผิดในหนี้สินที่มีอยู่กับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กับธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) โดยทายาทยินยอมยกที่ดินบางจากพร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินซอยลาซาล แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย และให้กิจการขายรถจักรยานยนต์บริษัท บี.เอ็ม.วี กลการ จำกัด พร้อมหนี้สินทั้งหมดที่มีอยู่เกี่ยวกับกิจการดังกล่าวให้จำเลยเป็นผู้รับผิดชอบเพียงผู้เดียว โดยให้เป็นกิจการของจำเลย ข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกและหนี้สินเพื่อระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่ หรือจะมีขึ้นให้เสร็จไปโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า โจทก์ได้ตรวจสอบหนี้สินของธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) ปรากฏว่า ผู้ที่ก่อหนี้เบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) คือบริษัทบี.เอ็ม.วี กลการ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จำเลยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจบริหาร ส่วนนายวีระพลเป็นเพียงผู้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 123081 ไปจำนองไว้ โจทก์และทายาทโดยธรรมคนอื่นที่ลงลายมือชื่อในบันทึกข้อตกลง ไม่ทราบถึงข้อมูลและความจริงดังกล่าวมาก่อน หากทราบความจริงตั้งแต่ต้นว่าแท้ที่จริงผู้ที่ก่อหนี้กับธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) คือ บริษัทบี.เอ็ม.วี กลการ จำกัด โจทก์และทายาทอื่นก็จะไม่ยอมลงลายมือชื่อ นั้น โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยทำกลฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ให้สำคัญผิดในหนี้ดังกล่าว อีกทั้งข้อความที่ตกลง ก็ไม่ปรากฏว่ามีข้อความตอนใดฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง และที่โจทก์อ้างในฎีกาอีกว่า จำเลยนำบันทึกข้อตกลง มาให้โจทก์และทายาทอื่นลงลายมือชื่อในเวลาดึกยามวิกาลอย่างเร่งรีบโดยไม่ได้บอกรายละเอียดแต่อย่างใดนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวไม่ถึงกับเป็นการหลอกลวงหรือทำกลฉ้อฉลและถึงแม้จะอ้างว่าจำเลยไม่ได้บอกรายละเอียด แต่ก่อนที่โจทก์จะลงชื่อ โจทก์ก็มีเวลาและโอกาสที่จะอ่านรายละเอียดก่อนลงลายมือชื่อได้ ดังนั้น การกระทำของจำเลยดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาไม่อาจถือได้ว่าเป็นการหลอกลวงฉ้อฉลโจทก์และทายาทอื่นเพื่อให้แสดงเจตนา การแสดงเจตนาทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงมีผลสมบูรณ์และผูกพันทายาททุกคน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยชำระหนี้ให้แก่ธนาคารดังกล่าวเสร็จสิ้น จำเลยย่อมมีสิทธิโอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นของจำเลยตามข้อตกลงใน ที่ดินโฉนดเลขที่ 84214 และ 84216 จึงไม่เป็นทรัพย์มรดกที่จะต้องนำมาแบ่งปันแก่ทายาทอีกต่อไป โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพื่อขอแบ่งทรัพย์มรดกที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวจากจำเลยได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปมีว่า โจทก์จะต้องรับผิดตามฟ้องแย้งหรือไม่ เห็นว่า ฟ้องเดิมเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรมของนางจิตตราขอแบ่งทรัพย์มรดกจากจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนางจิตตรา โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 39247 ตำบลแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นมรดกของนางจิตตราให้แก่บุคคลภายนอกในราคา 1,113,900 บาท และได้แบ่งปันให้ทายาทโดยธรรมบางส่วนแล้ว ยกเว้นจำเลยกับทายาทบางคนยังไม่ได้รับส่วนแบ่ง และมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์และทายาทโดยธรรมทุกคนในอัตราส่วนคนละเท่า ๆ กัน ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยขอให้โจทก์แบ่งทรัพย์มรดกคือที่ดินโฉนดเลขที่ 39247 ที่โจทก์ได้ขายไปและได้กล่าวไว้ในฟ้องเดิมว่ายังไม่ได้แบ่งให้จำเลย การที่จำเลยฟ้องแย้งขอแบ่งทรัพย์มรดกรายเดียวกันกับที่โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องเดิม จึงเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ชอบที่จะว่ากล่าวให้เสร็จสิ้นในคดีเดียวกัน จำเลยไม่จำต้องแยกไปฟ้องเป็นคดีต่างหาก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชำระเงิน 76,000 บาท แก่จำเลยตามฟ้องแย้งนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและฟ้องแย้งในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share