แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษทางอาญาแก่จำเลยฐานมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองเกินกว่าปริมาณที่กำหนดไว้ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ม. 48 ถ้าจำเลยต่อสู้ว่าได้รับยกเว้นโทษตาม ม. 50 จำเลยจะต้องนำสืบว่ากรณีต้องด้วยข้อยกเว้นนั้น มิฉะนั้นก็ไม่อาจพ้นผิดไปได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีไม้สักอันเป็นไม้หวงห้ามซึ่งแปรรูปแล้ว ๓.๘๘ ลูกบาศก์เมตรไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นไม้ที่ต้องเสียค่าภาคหลวงไม่ได้รับยกเว้น ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔
จำเลยต่อสู้ว่าเป็นไม้ที่ใช้ทำบ้านเรือนแล้วดังแต่ก่อน พ.ศ. ๒๔๙๔ ไม้สักของกลางจึงไม่ใช่ไม้หวงห้ามและไม่ใช่ไม้แปรรูปตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ และฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๙๔ ดังโจทก์ฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ ม.๔๗,๔๘,๔๙,๗๓ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๙๔ ม.๑๗ ปรับ ๒๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาปัญหาข้อ ก.ม.
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงไว้แล้วว่าจำเลยมีไม้สักแปรรูปไว้ในความครอบครอง ๓.๘๘ ลูกบาศก์เมตร ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยมิได้รับอนุญาต ในเบื้องต้นการกระทำของจำเลยย่อมเป็นผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ ม.๔๘ เมื่อจำเลยเถียงว่าเป็นไม้ซึ่งได้รับยกเว้นโทษตาม พ.ร.บ.ป่าไม้(ฉบับที่ ๓) ม.๑๓ แล้วจำเลยก็ต้องนำสืบว่าไม้ของกลางเป็นไม้ที่เข้าข้อยกเว้นนั้น เมื่อจำเลยไม่ได้พิสูจน์ให้ได้ความ ก็ย่อมไม่พ้นผิด พิพากยืน