คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2642/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์อุทธรณ์ว่า การปิดหมายเรียกไม่ชอบเพราะมิได้สอบถามคนที่อยู่ในบ้านก่อน แต่โจทก์มิได้ยกประเด็นนี้ขึ้นเป็นข้ออ้างในคำฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลภาษีอากรกลาง ทั้งมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
เจ้าพนักงานของจำเลยปิดหมายเรียก ณ ภูมิลำเนาของโจทก์ตามที่จดทะเบียนไว้ต่อกระทรวงพาณิชย์ จึงเป็นการปิดหมายโดยชอบตามมาตรา 8 วรรคสอง แห่ง ป.รัษฎากร การที่โจทก์ย้ายที่ทำการไปแล้วเป็นเพียงข้อที่โจทก์อาจยกขึ้นอ้างว่าไม่จงใจไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกได้เท่านั้น แต่ปรากฏว่านอกจากเจ้าพนักงานของจำเลยจะปิดหมายเรียกดังกล่าวแล้วยังส่งสำเนาหมายเรียกให้แก่ ส. กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ โดย ย. รับไว้แทน เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก เจ้าพนักงานประเมินได้ส่งหนังสือเตือนให้ปฏิบัติตามหมายเรียกซึ่งได้ส่งสำเนาหนังสือเตือนให้ ส. ด้วย โดย บ. รับไว้แทน เมื่อ ส. ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ทราบข้อความตามหมายเรียกจึงถือว่าโจทก์ทราบเช่นกัน เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก จึงเป็นการจงใจขัดขืนหมายเรียก เจ้าพนักงานประเมินย่อมมีอำนาจประเมินภาษีตามมาตรา 71 (1) แห่ง ป.รัษฎากร
โจทก์ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมิน จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมินตามมาตรา 21, 88 ประกอบมาตรา 87 (3) แห่ง ป.รัษฎากร ที่ใช้บังคับระหว่างปี 2530 ถึง 2532 แม้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์รับพิจารณาอุทธรณ์ให้ก็เป็นการไม่ชอบ มีผลเท่ากับไม่มีการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
สำหรับภาษีการค้าแม้เจ้าพนักงานประเมินจะเรียกให้โจทก์ชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม แต่เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับภาษีการค้า ศาลจึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องเบี้ยปรับและเงินเพิ่มในส่วนเกี่ยวกับภาษีการค้า
ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคล เจ้าพนักงานประเมินมิได้เรียกให้โจทก์ชำระเบี้ยปรับ คงเรียกให้ชำระเฉพาะเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่ง ป.รัษฎากร ซึ่งกำหนดอัตราไว้แน่นอนแล้ว ศาลไม่อาจงดหรือลดเงินเพิ่มได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล หนังสือแจ้งภาษีการค้า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีนายสมเกียรติเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยเห็นว่า โจทก์เสียภาษีไม่ถูกต้องจึงหมายเรียกไต่สวนการเสียภาษีของโจทก์สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2530 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2531 และตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2531 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2532 ให้โจทก์นำบัญชี เอกสารหลักฐานประกอบการลงบัญชีและเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องไปส่งมอบแก่เจ้าพนักงานประเมินโดยปิดหมายเรียกที่บ้านเลขที่ 512 หมู่ที่ 2 ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี และส่งสำเนาให้นายสมเกียรติที่บ้านเลขที่ 15 หมู่ที่ 4 ตำบลบึงยี่โถ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี โดยนางสาวยุพินรับไว้แทน โจทก์มิได้ปฏิบัติตามหมายเรียก เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือเตือนให้โจทก์ปฏิบัติตามหมายเรียกพร้อมส่งสำเนาให้นายสมเกียรติ ณ บ้านเลขที่ดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง นางสาวบุปผารับสำเนาหนังสือเตือนไว้แทนนายสมเกียรติ โจทก์ยังคงเพิกเฉย ขณะเจ้าพนักงานไปส่งหมายเรียกและหนังสือเตือนให้โจทก์นั้น บ้านเลขที่ 512 เป็นที่ทำการของบริษัทคราฟท์อาท จำกัด โดยโจทก์ขายบ้านเลขที่ดังกล่าวไปก่อนนี้แล้ว โจทก์เคยแจ้งให้เจ้าพนักงานของจำเลยทราบว่าติดต่อบริษัทในเครือบริษัทเค. เอส. ซี. ไดเมนชั่น จำกัด ได้ที่เลขที่ 1540 ชั้นที่ 5 อาคารนิปปอนแมนชั่น ถนนสุทธิสาร แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 71 (1) แห่ง ป.รัษฎากร ให้โจทก์ชำระภาษีเพิ่มเติมพร้อมเงินเพิ่มรวม 22,039,271 บาท และให้ชำระภาษีการค้าพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มรวม 12,276,537 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 34,315,808 บาท โจทก์อุทธรณ์การประเมินดังกล่าว คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ให้เหตุผลว่า เจ้าพนักงานประเมินส่งหมายเรียกให้โจทก์โดยชอบ โจทก์ไม่ไปพบเจ้าพนักงานประเมินไม่ส่งมอบบัญชี เอกสารประกอบการลงบัญชี การประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 71 (1) แห่ง ป.รัษฎากร และการประเมินภาษีการค้าชอบแล้ว
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกมีว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 71 (1) แห่ง ป.รัษฎากร เป็นการชอบหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ปัญหาข้อนี้ว่าการส่งหมายเรียกให้โจทก์ไม่ชอบ เพราะโจทก์ย้ายที่ทำการไปแล้ว และเจ้าพนักงานปิดหมายเรียกโดยมิได้สอบถามคนที่อยู่ในบ้านเลขที่ดังกล่าวก่อน การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจึงไม่ชอบ เห็นว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การปิดหมายเรียกไม่ชอบเพราะมิได้สอบถามคนที่อยู่ในบ้านก่อนนั้น โจทก์มิได้ยกประเด็นนี้ขึ้นเป็นข้ออ้างในคำฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลภาษีอากรกลาง ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ย้ายที่ทำการไปแล้วนั้น เห็นว่า เจ้าพนักงานของจำเลยปิดหมายเรียก ณ บ้านเลขที่ 512 หมู่ที่ 2 ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของโจทก์ตามที่จดทะเบียนไว้ต่อกระทรวงพาณิชย์ จึงเป็นการปิดหมายโดยชอบตามมาตรา 8 วรรคสอง แห่ง ป.รัษฎากรแล้ว การที่โจทก์ย้ายที่ทำการไปแล้วเป็นเพียงข้อที่โจทก์อาจยกขึ้นอ้างว่าไม่จงใจไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกได้เท่านั้น แต่ปรากฏว่านอกจากเจ้าพนักงานของจำเลยจะปิดหมายเรียกดังกล่าวแล้วยังส่งสำเนาหมายเรียกให้แก่นายสมเกียรติกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ที่บ้านเลขที่ 15 หมู่ที่ 4 ตำบลบึงยี่โถ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี โดยนางสาวยุพินรับไว้แทน เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก เจ้าพนักงานประเมินได้ส่งหนังสือเตือนให้ปฏิบัติตามหมายเรียกซึ่งได้ส่งสำเนาหนังสือเตือนให้นายสมเกียรติ ณ บ้านเลขที่ดังกล่าวด้วย โดยนางสาวบุปผารับไว้แทน ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าบ้านเลขที่ดังกล่าวมิใช่สำนักงานของบริษัทเค. เอส. ซี. ไดเมนชั่น จำกัดนั้น นายสมเกียรติพยานโจทก์เองเบิกความรับว่านางสาวยุพินกับนางสาวบุปผาทำงานที่บริษัทเค. เอส. ซี. ไดเมนชั่น จำกัด การที่บุคคลทั้งสองอยู่ในบ้านเลขที่ดังกล่าวจึงมีเหตุให้น่าเชื่อว่าบ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นสำนักงานของบริษัทเค. เอส. ซี. ไดเมนชั่น จำกัด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า บ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นสำนักงานขายของบริษัทเค. เอส. ซี. ไดเมนชั่น จำกัด นางสาวยุพินและนางสาวบุปผาย่อมทราบดีว่าข้อความตามหมายเรียกและหนังสือเตือนดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการเสียภาษีเชื่อว่าต้องนำไปมอบให้แก่นายสมเกียรติ เมื่อนายสมเกียรติซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ทราบข้อความตามหมายเรียกจึงถือว่าโจทก์ทราบเช่นกัน เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียก จึงเป็นการจงใจขัดขืนหมายเรียก เจ้าพนักงานประเมินย่อมมีอำนาจประเมินภาษีตามมาตรา 71 (1) แห่ง ป.รัษฎากร การประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์จึงเป็นการชอบแล้ว
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อต่อไปมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเรื่องการประเมินภาษีการค้าเพิ่มเติมหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ปัญหาข้อนี้ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเพราะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์รับพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง เห็นว่า เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมิน จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมินตามมาตรา 21, 88 ประกอบมาตรา 87 (3) แห่ง ป.รัษฎากร ที่ใช้บังคับระหว่างปี 2530 ถึง 2532 แม้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์รับพิจารณาอุทธรณ์ให้ก็เป็นการไม่ชอบ มีผลเท่ากับไม่มีการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มนั้น เห็นว่า สำหรับภาษีการค้าแม้เจ้าพนักงานประเมินจะเรียกให้โจทก์ชำระเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม แต่เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับภาษีการค้า ศาลจึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องเบี้ยปรับและเงินเพิ่มในส่วนเกี่ยวกับภาษีการค้าได้ ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคล เจ้าพนักงานประเมินมิได้เรียกให้โจทก์ชำระเบี้ยปรับ คงเรียกให้ชำระเฉพาะเงินเพิ่มตามมาตรา 27 แห่ง ป.รัษฎากร ซึ่งกำหนดอัตราไว้แน่นอนแล้ว ศาลไม่อาจงดหรือลดเงินเพิ่มได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 10,000 บาท แทนจำเลย.

Share