แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กรรมการตรวจฎีกาจำเลย อุทธรณ์คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษฯ
ย่อยาว
โจทย์ฟ้องว่าเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๙ จำเลยรุกเข้ามาทำนาในที่ของโจทย์ซึ่งเจ้าพนักงานได้ออกใบเหยี่ยบย่ำให้โจทย์แล้ว เปนจำนวนนา ๔๐๐ ไร่ ที่ตำบลลาดบัวหลวง ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ของโจทย์ ฯ
จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิว่าเปนที่นาของจำเลย เจ้าพนักงานได้ออกใบเยียบย่ำให้จำเลยแล้ว และคัดค้านว่าใบเหยียบย่ำของโจทย์ใช้ไม่ได้ เพราะอำเภอเสนาน้อย จังหวัดนครศรีอยุธยา ออกใบเหยียบย่ำให้โจทย์ ไม่ใช่ท้องที่ตำบลนี้ แต่ท้องที่ตำบลนี้อยู่ในอำเภอจังหวัดนครปฐม ฯ
พิจารณาได้ความว่าที่รายพิภาษหมายสีเขียวตามแผนที่ในคดีนี้เดิมอยู่ในเขตรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โจทย์ได้ขอจับจองแต่ปี พ.ศ.๒๔๕๗ นายอำเภอเสนาน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ออกใบเหยียบย่ำให้โจทย์ ในใบเหยียบย่ำลงวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๙ โจทย์ได้เข้าทำนารายนี้มา แล้วกระทรวงมหาดไทยให้เจ้าพนักงานปักเขตรแดนระหว่างจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กับจังหวัดนครปฐมใหม่ ที่รายพิภาษนี้จึงอยู่ในจังหวัดนครปฐม จำเลยก็ได้ขอจับจองที่นี้ต่อนายอำเภอ จังหววัดนครปฐม นายอำเภอได้ออกใบเหยียบย่ำให้จำเลย ในใบเหยียบย่ำของจำเลยลงวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๙ แต่ไม่ได้ความชัดว่าเจ้าพนักงานปักเขตต์ให้ที่รายพิภาษนี้อยู่ในเขตร์จังหวัดนครปฐมแต่เมื่อใด ศาลมณฑลนครชัยศรีได้มีหนังสือถามไปยังเจ้าพนักงานเกษตรมณฑลนครชัยศรี เจ้าพนักงานเกษตรมีหนังสือตอบมาว่าเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๘ เจ้าพนักงานเกษตรพร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมไปตรวจท้องที่ เพื่อปักเขตรแดนจังหวัดนครปฐมกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยาครั้ง ๑ และได้ทราบว่า ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมพร้อมด้วยข้าราชการกระทรวงมหาดไทยออกไปปักเขตรแดนอิกครั้ง ๑ แต่เจ้าพนักงานเกษตรไม่ได้ไปด้วย ได้ความดังนี้ศาลมณฑลนครชัยศรีฟังว่า เจ้าพนักงานได้ปักเขตรให้ที่พิภาษนี้อยู่ในเขตรจังหวัดนครปฐมแต่ปี พ.ศ.๒๔๕๘ นายอำเภอจังหวัดพระนครศรีอยุธยาออกใบเยียบย่ำให้โจทย์ ลงวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๙ นั้นใช้ไม่ได้ เพราะผิดท้องที่ เท่ากับโจทย์ทำนามือเปล่า ในฟ้องโจทย์กล่าวว่าจำเลยรุกเข้ามาทำนาเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๙ แต่โจทย์ยื่นฟ้องวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๐ เห็นว่าโจทย์ทอดทิ้งที่รายนี้เกินกว่า ๑ ปีขาดกรรมสิทธิแล้ว จึงพิพากษายกฟ้องโจทย์ ฯ
โจทย์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษฟังว่า นายอำเภอจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ออกใบเหยียบย่ำให้โจทย์นั้นใช้ได้ตามกฎหมาย โจทย์มาฟ้องจำเลยยังไม่ขาดอายุใบเหยียบย่ำ การที่นายอำเภอนครปฐมออกใบเหยียบย่ำให้จำเลยภายหลังใบเหยี่ยบย่ำของโจทย์ใบเหยียบย่ำของจำเลยทับที่โจทย์ใช้ไม่ได้ จึงพิพากษาให้ขับไล่นายคง นายแย นายมิ่ง นายอิ่ม นายโชติออกจากที่โจทย์ตามแผนที่หมายสีเขียว ส่วนนายแคลน นางอิ่มนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องในที่รายพิภาษนี้ ให้ยกข้อหาของโจทย์ที่ฟ้องนายแคลน นางอิ่มเสีย ฯ
นายคง นายแย นายมิ่ง นายอิ่ม นายโชติทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาอ้างเหตุว่า นายอำเภอจังหวัดพระนครศรีอยุธยาออกใบเหยียบย่ำให้โจทย์เมื่อมีรายพิภาษนี้อยู่ในจังหวัดนครปฐมแล้ว ใบเหยียบย่ำของโจทย์เปนอันใช้ไม่ได้ ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนเรื่องนี้ ได้ความว่าเมื่อเวลาโจทย์ของจับจองที่รายนี้ ๆ ยังอยู่ในเขตรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งขุนบริรักษ์เสนาขันธ์ นายอำเภอจังหวัดพระนครศรีอยุธยามาเปนพยานเบิกความว่า ได้ออกใบเหยียบย่ำให้โจทย์โดยถูกต้องแล้ว จำเลยไม่มีพยานมาแสดงว่านายอำเภอได้ออกใบเหยียบย่ำให้โจทย์โดยกระทำผิดอย่างใด ข้อที่ศาลมณฑลนครชัยศรีฟังหนังสือของเจ้าพนักงานเกษตรว่า ไปตรวจท้องที่เพื่อปักเขตรแดนระหว่างจังหวัดนครปฐมกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแต่ปี พ.ศ.๒๔๕๘ นั้น จะหมายความว่าที่พิภาษนี้อยู่ในเขตรจังหวัดนครปฐมแต่ปี พ.ศ.๒๔๕๘ ไม่ได้ จึงคงฟังว่านายอำเภอจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ออกใบเหยียบย่ำให้โจทย์โดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ทั้งโจทย์ได้เข้ามาทำนารายนี้มาก่อนจำเลย ตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.๑๒๗ มาตรา ๖๒ ใบเหยียบย่ำให้มีอายุ ๒ ปีในคดีนี้นับแต่วันที่จำเลยรุกเข้ามาทำนาจนถึงวันโจทย์มาฟ้องจำเลยไม่ถึง ๒ ปี ยังหาขาดอายุใบเหยียบย่ำไม่ ศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ของโจทย์ ตามแผนที่หมายสีเขียวนั้นชอบแล้ว ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย ให้จำเลยเสียค่าทนายให้โจทย์ในชั้นฎีกานี้ ๕๐ บาท ฯ
วันที่ ๒ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓