แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ย่อยาว
คดีโจทย์ฟ้องว่าจำเลยได้รับฝากทรัพย์ของพระภิกษุผลซึ่งเปนญาติของโจทย์ไว้ตามบาญชีท้ายฟ้อง  ครั้งเมื่อเดือน ๑๒ แรม ๔ ค่ำ พ.ศ.๒๔๖๑ พระภิกษุผลมรณภาพ  โจทย์ขอรับทรัพย์รายนี้จากจำเลย ๆ ไม่ให้  จำเลยไม่ใช่ญาติพระภิกษุผลขอให้จำเลยส่งทรัพย์รายนี้ให้โจกย์
จำเลยให้การต่อสู้ว่า  ทรัพย์รายพิภาษเดิมเปนของนายแสงบิดาพระภิกษุผล  นายแสงมอบหมายให้จำเลยจำหน่ายเลี้ยงนายแสงแลพระภิกษุผล  ครั้นปี ๑๒๙ นายแสงตาย  จำเลยได้อุปการะพระภิกษุผลต่อมา  ครั้นเมื่อเดือน ๑๒ พ.ศ.๒๔๖๑ พระภิกษุผลมรณภาพ  ได้อุทิศทรัพย์บางอย่างให้แก่จำเลย  แลตัดฟ้องว่าโจทย์ได้ฟ้องเรียกมรฎกนายแสงจากจำเลยคดียังไม่ถึงที่สุด  โจทย์ฟ้องอีกไม่ได้  ทั้งพระภิกษุผลก็อุปสมบทมากกว่า ๒๐ ปี ตามกฎหมายมรฎกบทที่ ๓๖ บัญญัติว่าคฤหัสถ์ฟ้องขอรับมรฎกพระไม่ได้เมื่อไม่มีการอุทิศ ฯ
ศาลจังหวัดอ่างทองพิจารณาโจทย์จำเลยรับกันว่า  ทรัพย์รายพิภาษนอกจากที่นาแล้ว  โจทย์ให้ถือตามคำจำหน่ายของจำเลย  คงให้วินิจฉัยแต่ส่วนที่นาเท่านั้น  แลโจทย์จำเลยไม่คิดใจสืบพยานต่อไปดังนี้  คดีฟังได้ว่าทรัพย์รายพิภาษนี้เดิมเปนของนายแสงบิดากับพระภิกษุผลบุตร์  ฝ่ายโจทย์เปนญาติทางมารดาพระภิกษุผล  จำเลยไม่ใช่ญาติเปนผู้ดูแลเก็บผลประโยชน์เลี้ยงนายแสงแลพระภิกษุผล  นายแสงตายโจทย์ได้ฟ้องเรียกทรัพย์มรฎกนายแสงจากจำเลย  คดีเปนยุติเพียงศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษ  ตัดสินว่าโจทย์ไม่ใช่ญาตินายแสงให้ยกฟ้องโจทย์ ต่อมาพระภิกษุผลมรณภาพ  โฉนดยังเปนชื่อนายแสงพระภิกษุผลอยู่ต้องถือว่าเปนทรัพย์ของพระภิกษุผลนอกพระอาราม  ควรได้แก่โจทย์ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๘๖/๑๒๙  พิพากษาให้จำเลยส่งโฉนดแลที่นารายพิภาษให้แก่โจทย์ ฯ
จำเลยอุทธรณ  ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษปฤกษากลับสัตย์ฟังว่า  ทรัพย์รายพิภาษนี้เปนทรัพย์ของพระภิกษุผลมีอยู่ในระหว่างเปนพระ  ซึ่งปรากฎในโฉนดที่ดินหมายเลขที่ ๔๑๑๘ ว่าให้นายแสงบิดาแลนายผล (คือพระภิกษุผล) เปนผู้ถือกรรมสิทธิใบสำคัญลงวันที่ ๒๓  กุมภาพันธ์ ร.ศ.๑๒๘ ถ้าจะนับมาจนถึงบัดนี้ก็ได้คราว ๑๐-๑๑ ปี  ซึ่งปรากฎว่าในเวลาออกโฉนดนั้นพระภิกษุผลได้อุปสมบทอยู่แล้ว  ตามกฎหมายลักษณมรฎกบทที่ ๓๖ ต้องถือว่าเปนทรัพย์เกิดขึ้นในเวลาเปนพระภิกษุสงฆ์ หาใช่ทรัพย์มีก่อนอุปสมบทดุจคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๘๖/๑๒๙ ซึ่งศาลเดิมยกขึ้นอ้างมานั้นไม่  เพราะฉนั้นผู้ใดจะมีอำนาจฟ้องร้องที่รายนี้ได้ก็ต้องเปนผู้ได้รับความอุทิศจากเจ้าภิกษุผู้เปนเจ้าของก่อนมิฉนั้นไม่มีอำนาจเลย  เมื่อคดีไม่ปรากฎว่าพระภิกษุได้อุทิศทรัพยรายนี้ให้แก่ใครโดยแน่นอนแล้ว  ถึงโจทย์ผู้เปนญาติทางมารดาพระภิกษุผลก็ไม่มีอำนาจฟ้องร้อง  ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๐๔/๒๔๖๑ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลเดิมให้ยกฟ้องโจทย์  ให้โจทย์เสียค่าธรรมเนียมแทนจำเลยกับค่าทนาย ๒ ศาลรวม ๗๕ บาท ฯ
โจทย์จำเลยทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ระหว่างฎีกาโจทย์ยื่นคำร้องขอสืบพยานในข้อที่ว่าทรัพย์รายนี้เปนของพระก่อนอุปสมบทคดีไม่เข้าอยู่ในบท ๓๖ ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ประชุมปฤกษาคดีนี้ตลอดแล้ว  ข้อที่โจทย์ร้องขอสืบพยานขึ้นมาในชั้นฎีกานี้  เห็นว่าโจทย์จำเลยได้ให้ถ้อยคำต่อศาลว่า  โจกย์จำเลยไม่ติดใจสืบพยานแล้ว  โจทย์จะร้องขอสืบพยานอีกนั้นมิควรฟัง  ส่วนข้อเท็จจริงแห่งที่นาพิภาษนี้  ตามโฉนดมีชื่อนายแสงกับนายผลบุตร์ (คือพระภิกษุผล) เปนผู้ถือกรรมสิทธิ  เมื่อนายแสงตายโจทย์ได้ฟ้องเรียกมรฎกนายแสงศาลตัดสินให้ยกฟ้องโจทย์เสียครั้งหนึ่งแล้ว  เพราะโจทย์ไม่ใช่ญาติของนายแสง  จะรับมรฎกนายแสงมิได้  แลการที่พระภิกษุผลจะเปนผู้ถือกรรมสิทธิในที่พิภาษนี้แต่เมื่อใดนั้น  ก็ปรากฎตามโฉนดหมายเลขที่ ๔๑๑๘ ว่าได้รับโฉนดมาเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ร.ศ.๑๒๘ ซึ่งเวลานั้นพระภิกษุได้อุปสมบทแล้ว  จึงถือว่าที่นารายพิภาษนี้พระภิกษุผลได้มาในระหว่างเปนพระ  เมื่อพระภิกษุผลมรณภาพมิได้อุทิศที่นารายพิภาษนี้ไว้ให้แก่ผู้ใดโดยแน่นอนแล้วที่นานั้นก็ต้องตกเปนของพระอาราม  ที่ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษพิพากษาอ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๐๔/๒๔๖๑ เปนอุทาหรณ์นั้นชอบแล้ว  ฎีกาโจทย์จำเลยฟังไม่ขึ้นให้ยกเสีย  ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษ  ค่าธรรมเนียมแลค่าทนายที่โจทย์จำเลยได้เสียมาในชั้นฎีกานี้ให้เปนภัพไปทั้ง ๒ ฝ่าย ฯ

