คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อสัญญาที่โจทก์รับจ้างว่าความแก้ต่างให้จำเลยเพื่อแบ่งทรัพย์พิพาทในคดี สัญญานี้จึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้ง โดยพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2508 มาตรา 41ประกอบกับพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2477 มาตรา 12(2) การที่โจทก์จำเลยจะทำสัญญากันก่อนว่าความหรือระหว่างว่าความหาเป็นผลให้ กฎหมายดังกล่าวไม่ใช้บังคับไม่ สัญญานี้จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความแก้ต่างในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 353/2518 ของศาลจังหวัดนครราชสีมา เป็นเงิน 23,000 บาท จำเลยได้ชำระให้โจทก์แล้ว 3,000 บาท ส่วนที่เหลือจำเลยว่าไม่มีชำระจึงได้ทำสัญญายกที่ดินพิพาทซึ่งได้รับจากนายประยงค์ในคดีนั้นทางด้านทิศตะวันตก เนื้อที่ 3 งาน ให้โจทก์แทนเงินค่าจ้างว่าความที่ค้างชำระ ที่ดินดังกล่าวจึงตกเป็นของโจทก์ โจทก์จำเลยได้แบ่งกันครอบครองเรื่อยมาหลังจากศาลพิพากษาคดีเดิมเด็ดขาดแล้ว นายประยงค์กับพวกไม่ยอมออกจากที่ดิน จำเลยต้องฟ้องนายประยงค์อีก และศาลฎีกาพิพากษาขับไล่นายประยงค์กับพวกเมื่อปี พ.ศ. 2523 เมื่อจำเลยได้ที่ดินมาแล้วจำเลยไปขอออก น.ส.3 และประกาศยกที่ดินให้บุตรและหลานโจทก์จึงไปคัดค้าน ขอให้ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนที่ยกให้โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์หลอกให้จำเลยลงชื่อในกระดาษเปล่าแล้วนำไปกรอกข้อความเอง จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ว่าความเพียง 8,000 บาท และโจทก์ได้รับเงินของจำเลยจากศาลไปเกินจำนวนนี้แล้ว จำเลยไม่เคยแบ่งที่ดินให้โจทก์ สัญญาตามฟ้องเป็นสัญญาเพื่อแบ่งทรัพย์พิพาทในคดี จึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง

ในชั้นพิจารณาคู่ความท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายว่าถ้าข้อเท็จจริงเป็นว่า “สัญญาตามสำเนาท้ายฟ้องที่โจทก์นำมาฟ้องนั้น เป็นสัญญาที่โจทก์รับจ้างว่าความแก้ต่างให้จำเลย เพื่อแบ่งทรัพย์ที่พิพาทในคดี และในขณะทำสัญญาดังกล่าว คดียังไม่ถึงที่สุดโดยยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา” จึงเป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับหรือไม่ หากศาลวินิจฉัยว่าเป็นโมฆะ โจทก์ขอยอมแพ้ และถ้าศาลวินิจฉัยว่าไม่เป็นโมฆะ จำเลยยอมแพ้คู่ความไม่ติดใจสืบพยาน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาไม่โมฆะ พิพากษาห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ที่จำเลยตีราคาชำระหนี้

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาเป็นโมฆะ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงกันตามคำท้าว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาที่โจทก์รับจ้างว่าความแก้ต่างให้จำเลยเพื่อแบ่งทรัพย์พิพาทในคดีแล้ว สัญญานี้ก็เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2508 มาตรา 41 ประกอบกับพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2477 มาตรา 12(2) ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้ทนายความเข้าเป็นทนายว่าต่างแก้ต่างโดยวิธีสัญญาแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้แก่ลูกความ การที่โจทก์จำเลยจะทำสัญญากันก่อนว่าความหรือระหว่างว่าความหาเป็นผลให้กฎหมายดังกล่าวไม่ใช้บังคับไม่ สัญญานี้จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113

พิพากษายืน

Share