คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 180/2463

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๑ เวลากลางคืน จำเลยกับพวกอีก ๓ คนเปนผู้ร้ายเข้าปล้นเอาทรัพย์ของนางพลอย นางปลั่งไปรวมราคา ๕๓๕ บาท ๗๕ สตางค์ แลฆ่านายเฟื่องพวกเจ้าทรัพย์ทาย ที่ตำบลบางซ่อน อำเภอบางซื่อ จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๒๕๐ – ๓๐๑ ฯ
จำเลยให้การปฏิเสธข้อหา แลต่อสู้อ้างฐานที่อยู่ ฯ
ศาลพระราชอาญาพิจารณาฟังว่า จำเลยเปนผู้ร้ายเข้าปล้นทรัพย์ของนางพลอย นางปลั่ง และจำเลยกับพวกช่วยกันทำร้ายนายเฟื่องบุตร์เจ้าทรัพย์ตาย เพื่อจะให้เปนความสดวกในการที่จะกระทำผิด จำเลยมีความผิดต้องด้วยกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๒๕๐ ข้อ ๕ จึงพิจารณาให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลย ฯ
จำเลยอุทธรณ ศาลอุทธรณเห็นว่าตามคำพยานแลหลักฐานของโจทย์ไม่ควรฟังมาลงโทษจำเลย จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลพระราชอาญาให้ยกฟ้องโจทย์ปล่อยตัวจำเลย ฯ
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณในข้อเท็จจริง ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนแล้ว ได้ความว่านางพลอยเจ้าทรัพย์นั้นเปนมารดาของนายเฟื่อง นางปลั่ง แลนางพลอยกับนายเฟื่องบุตร์อยู่เรือนหลังหนึ่ง นางปลั่งอยู่หลังหนึ่งมีนอกชาลแล่นกลาง เมื่อวันโจทย์หาเวลาเที่ยงคืนมีผู้ร้ายประมาณ ๔ คนขึ้นปล้นเอาทรัพย์ของนางพลอย นางปลั่งแลทำร้ายร่างกายนายเฟื่องบุตร์เจ้าทรัพย์ นายเฟื่องได้ขาดใจตายโดบบาลแผลในคืนนั้น ข้อสำคัญแห่งความเท็จจริงที่จะฟังว่า จำเลยได้เปนผู้ร้ายปล้นทรัพย์รายนี้จริงฤาไม่นั้น เห็นว่าทางพิจารณาตามคำนางแดงภรรยาจำเลยกับคำนายพันผู้ใหญ่บ้านนายมะ นางเจ๊กซึ่งเปนพยานบ้านใกล้เคียงเบิกความประกอบกันสมฐานที่อยู่จำเลยเปนหลักฐานมั่นคง ฟังได้ว่าเวลาที่มีผู้ร้ายขึ้นปล้นทรัพย์รายนี้ จำเลยได้นั่งถักปอตาข่ายอยู่ที่เรือนจำเลยจนเวลาเที่ยงคืนเศษ ครั้นเลิกจากถักเปลแล้วจำเลยก็นอนอยู่ที่เรือนจำเลยจนรุ่งสว่างหาได้ไปข้างไหนไม่ บ้านของจำเลยกับบ้านเจ้าทรัพย์ก็ห่างไกลกันประมาณถึง ๘๐ เส้น พยานสำคัญของโจทย์ก็มีคำนางพลอย นางปลั่งเจ้าทรัพย์ ๒ ปากที่เบิกความว่าจำหน้าจำเลยได้ว่าเปนผู้รายปล้นทรัพย์ แต่คำนางพลอย นางปลั่งเบิกความไม่สมเหตุสมผล แลผิดกับคำให้การชั้นเจ้าพนักงานไต่สวนเปนหลายข้อหลายประการดังศาลอุทธรณได้ยกขึ้นกล่าวไว้แล้ว ทั้งปรากฎว่าผู้ร้ายที่เข้าปล้นได้ทาแป้งมอมหน้าแลโพกสีสะ ซึ่งเปนเวลามืดค่ำดึกดื่นเจ้าทรัพย์ก็กำลังตกใจที่จะมีความสังเกตจำหน้าผู้ร้ายได้แน่นอนนั้นเปนข้องสงสัย ในที่สุดพยานยังจำเครื่องนุ่งห่มของผู้ร้ายได้เลอียดลออตลอดทั้งกระดุมเสื้อใส่แลไม่ใส่ ก็เปนอันไม่สมกับเหตุทั้งนั้นออกจากคำพยาน ๒ ปากนี้แล้วก็มีคำให้การของนายเฟื่องผู้ตายซึ่งอำเภอได้ถามแลจดไว้ นายเฟื่องว่าจำผู้ร้ายได้ ๔ คนทั้งจำเลยด้วย แต่เวลานั้นนายเฟื่องมีสติไม่ปรกติ เพราะมีบาดแผลที่ถูกกระทำร้ายถึง ๑๑ แห่งลมกำลังออกจากแผลที่ท้องจวนจะขาดใจอยู่แล้วดวงศรีเขตนครนายอำเภอกับนายแม้นผู้ใหญ่บ้านซึ่งเปนผู้นั่งถามปากคำนายเฟื่องก็เบิกความแตกต่างกัน คือ พลวงศรีเขตนครว่าเมื่อจดปากคำแล้ว หลวงศรี ฯ ได้อ่านให้นายเฟื่องฟัง นายแม้นผู้ใหญ่บ้านเบิกว่าไม่ได้อ่านให้ฟังดังนี้ก็ย่อมมีข้อสงสัยหนักขึ้น ด้วยเหตุว่าคำให้การชนิดนี้มิได้ให้การต่อน่าศาล ซึ่งโจทย์จำเลยจะได้มีโอกาศซักฟอกว่ามีข้อพิรุธแลสงสัยอยู่แล้ว ก็ยังไม่พอจะฟังคำผู้ตายที่เจ้าพนักงานคัดไว้เปนแน่นอน เพราะฉนั้นเมื่อได้เทียบน้ำหนักคำพยานแลหลักฐานของโจทย์จำเลยแล้ว ก็เห็นได้ว่าพยานแลหลักฐานของโจทย์ไม่มีน้ำหนักที่จะควรฟังมาหักล้างพยานฐานที่จำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณพิพากษายกฟ้องโจทย์ปล่อยตัวจำเลยนั้นชอบด้วยทางพิจารณาแล้ว ให้ยกฎีกาโจทย์เสีย ฯ
วันที่ ๙ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

Share