แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อผู้ผลิตสินค้าที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้จำหน่ายสินค้าของตนในครั้งแรก ซึ่งได้รับประโยชน์จากการใช้เครื่องหมายการค้านั้นจากราคาสินค้าที่จำหน่ายไปเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้ซื้อสินค้าซึ่งประกอบการค้าปกตินำสินค้านั้นออกจำหน่ายอีกต่อไป โจทก์ที่ 1 ผู้ผลิตสินค้าปัตตะเลี่ยน ไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้จำเลยนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงที่จำเลยซื้อจากตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ที่ 1 ในประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ มาจำหน่ายในประเทศไทยได้
โจทก์ที่ 2 เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” ของโจทก์ที่ 1 จากประเทศสหรัฐอเมริกามาจำหน่ายในประเทศไทย โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ตั้งให้โจทก์ที่ 2 เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์ที่ 1 ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว โจทก์ที่ 2 จึงเป็นเพียงผู้นำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าวจากโจทก์ที่ 1 มาจำหน่ายในประเทศไทยผู้หนึ่งเท่านั้น การที่จำเลยนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยจึงไม่เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 421
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 2 เดือนละ 1,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะหยุดจำหน่ายสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” รวมทั้งห้ามสั่งหรือนำเข้ามาจำหน่ายหรือเสนอจำหน่าย ซึ่งปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” หรือใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวของโจทก์ที่ 1 ไม่ว่าด้วยประการใด ๆ ต่อไป และห้ามพิมพ์ข้อความใด ๆ บนเอกสารโดยมีชื่อยี่ห้อ “WAHL” กับให้จำเลยรวบรวมเก็บสินค้าปัตตะเลี่ยนที่ละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสองซึ่งวางจำหน่ายในท้องตลาดและอยู่ในความครอบครองของจำเลยส่งมอบต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อจัดการทำลายเสีย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า การที่จำเลยนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้า คำว่า “WAHL” เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 กับละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 และจะต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่เพียงใด เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ผลิตสินค้าปัตตะเลี่ยนโดยใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” ซึ่งโจทก์ที่ 1 ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไว้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และเมื่อปี 2527 โจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวสำหรับใช้กับสินค้าปัตตะเลี่ยนในประเทศไทย แล้วได้ต่ออายุการจดทะเบียนในปี 2537 ตามทะเบียนเครื่องหมายการค้า โจทก์ที่ 1 ผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าวย่อมเป็นผู้มีสิทธิแต่ผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้าปัตตะเลี่ยนตามที่จดทะเบียนไว้ ส่วนการที่โจทก์ที่ 2 ได้ไปยื่นคำขอแจ้งความจำนงรับความคุ้มครองเครื่องหมายการค้า ดังที่โจทก์ที่ 2 นำสืบก็ทำในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ที่ 1 จึงไม่ทำให้โจทก์ที่ 2 มีส่วนเป็นเจ้าของสิทธิในเครื่องหมายการค้าร่วมกับโจทก์ที่ 1 แต่อย่างใด โจทก์ที่ 2 คงเป็นเพียงผู้นำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” ของโจทก์ที่ 1 เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเท่านั้น ดังนั้น จึงมีปัญหาที่ต้องแยกพิจารณาประการแรกว่า จำเลยละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 หรือไม่ และประการที่สองว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 อย่างใดหรือไม่ ในปัญหาที่ว่าจำเลยละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 หรือไม่นั้น แม้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 44 จะให้การคุ้มครองสิทธิของโจทก์ที่ 1 ในฐานะที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” ตามที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงการคุ้มครองโดยให้สิทธิแก่โจทก์ที่ 1 เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าปัตตะเลี่ยนตามที่ได้จดทะเบียนไว้ ซึ่งทำให้โจทก์ที่ 1 มีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้อื่นนำเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 ไปใช้โดยมิชอบเท่านั้น และเมื่อพิจารณาประกอบกับบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2534 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า “เครื่องหมายการค้า หมายความว่า เครื่องหมายที่ใช้หรือจะใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับสินค้า เพื่อแสดงว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นแตกต่างกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น”ย่อมเห็นได้ว่า วัตถุประสงค์ของการใช้เครื่องหมายการค้าตามบทบัญญัติดังกล่าวคือการใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าเพื่อแยกความแตกต่างระหว่างสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นกับสินค้าของผู้อื่นและเพื่อระบุว่าสินค้านั้นเป็นของเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าว ซึ่งเป็นประโยชน์แก่เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นในการจำหน่ายสินค้าของตน เพราะการใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าเช่นนี้ทำให้ประชาชนที่นิยมเชื่อถือในสินค้าและเครื่องหมายการค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นได้อาศัยเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นได้ถูกต้องตามความประสงค์ของตน และการที่มีผู้ซื้อสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้าเพื่อนำไปจำหน่ายต่อไปก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาในการประกอบการค้า ดังนี้ เมื่อผู้ผลิตสินค้าที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้จำหน่ายสินค้าของตนในครั้งแรกซึ่งเป็นการใช้สิทธิแต่ผู้เดียวในการใช้เครื่องหมายการค้านั้นกับสินค้าของตนเพื่อประโยชน์ในการจำหน่ายสินค้าโดยได้รับประโยชน์จากการใช้เครื่องหมายการค้านั้นจากราคาสินค้าที่จำหน่ายไปเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้ผู้ซื้อสินค้าซึ่งประกอบการค้าตามปกตินำสินค้านั้นออกจำหน่ายอีกต่อไป คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติว่า สินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” ที่จำเลยนำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเมื่อปี 2537 ตามใบขนสินค้าขาเข้าเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงของโจทก์ที่ 1 โดยจำเลยซื้อสินค้าจากผู้ขายสินค้าให้จำเลยที่ประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ที่ 1 เช่นกัน กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยซื้อสินค้าดังกล่าวของโจทก์ที่ 1 เข้ามาจำหน่ายโดยมิได้กระทำการใด ๆ โดยมิชอบไม่ว่าจะเป็นการปลอมหรือเลียนเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” ของโจทก์ที่ 1 หรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรจำหน่าย เสนอจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมหรือที่เลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 ดังกล่าว อันอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 108, 109 และมาตรา 110 (1) หรือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 273, 274 และมาตรา 275 แต่อย่างใด ทั้งการที่จำเลยซื้อสินค้าของโจทก์ที่ 1 จากตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ที่ 1 ในประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์และนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยนั้น ก็เกิดจากการที่โจทก์ที่ 1 ได้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าของตนโดยใช้เครื่องหมายการค้ากับสินค้าเพื่อจำหน่ายโดยได้รับประโยชน์ตอบแทนในการขายสินค้านั้นเสร็จสิ้นไปแล้ว นอกจากนี้เครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” ที่ติดอยู่ที่สินค้าของโจทก์ที่ 1 นั้นก็ยังคงเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงแหล่งกำเนิดและความเป็นเจ้าของสินค้าของโจทก์ที่ 1 ตามที่โจทก์ที่ 1 ได้ใช้เครื่องหมายการค้านั้นเพื่อจำแนกสินค้าของตนอยู่เช่นเดิม ดังนั้น โจทก์ที่ 1 จึงไม่มีสิทธิหวงกันไม่ให้จำเลยนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่แท้จริงที่มีเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 ซึ่งมิใช่เครื่องหมายการค้าปลอมหรือที่เลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 มาจำหน่ายในประเทศไทยได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้เครื่องหมายการค้าอันเป็นการละเมิดสิทธิแต่ผู้เดียวของโจทก์ที่ 1 ในการใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” สำหรับสินค้าปัตตะเลี่ยนตามที่ได้จดทะเบียนไว้ ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 44 ดังที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ส่วนกรณีที่กล่องบรรจุสินค้าปัตตะเลี่ยนซึ่งมีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” ในหรือส่งออกจากประเทศไทยเท่านั้น มิได้ห้ามผู้ใดนำเข้าหรือส่งออกสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” ที่แท้จริงของโจทก์ที่ 1 แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยดังวินิจฉัยมาข้างต้น จึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” ของโจทก์ที่ 1
ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 หรือไม่นั้น เห็นว่า แม้ตามทางนำสืบของโจทก์ที่ 2 จะได้ความว่าโจทก์ที่ 2 เป็นผู้นำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” ของโจทก์ที่ 1 ซึ่งสั่งโดยตรงจากโจทก์ที่ 1 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นเวลาประมาณถึง 12 ปี แล้วก็ตาม แต่โจทก์ที่ 2 ก็มิได้มีเอกสารใด ๆ มานำสืบยืนยันว่าโจทก์ที่ 1 ได้ตั้งให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” แต่ผู้เดียวในประเทศไทย ในทางตรงกันข้ามนางสาวอารียา ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ที่ 2 กลับเบิกความตอบทนายจำเลยรับว่า ก่อนวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ตั้งให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” ของโจทก์ที่ 1 ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว เมื่อปรากฏว่าก่อนวันที่ 19 กรกฎาคม 2539 โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ตกลงตั้งโจทก์ที่ 2 ให้เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” ของโจทก์ที่ 1 เพียงผู้เดียวในประเทศไทยแล้ว โจทก์ที่ 2 จึงเป็นเพียงผู้นำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” จากโจทก์ที่ 1 มาจำหน่ายในประเทศไทยผู้หนึ่งเท่านั้น และจากหลักฐานการนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” ตามใบขนสินค้าขาเข้าปรากฏว่า จำเลยนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” จากตัวแทนจำหน่ายของโจทก์ที่ 1 ที่ประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์มาจำหน่ายในประเทศไทยในวันที่ 28 มกราคม 2537 ซึ่งนางสาวพจนีย์ กรรมการจำเลยที่เป็นทั้งพยานโจทก์ที่ 2 และพยานจำเลยก็เบิกความว่า เมื่อสั่งสินค้ามาแล้ว จำเลยไม่ได้สั่งสินค้าเข้ามาอีกเลย ดังนั้น จึงฟังไม่ได้ว่า การที่จำเลยนำเข้าซึ่งสินค้าปัตตะเลี่ยนที่มีเครื่องหมายการค้าคำว่า “WAHL” เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยดังกล่าว เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 อันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้ละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าหรือกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.