คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8245/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยต่างยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า คำว่า KIPLING ซึ่งนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าเห็นว่าเหมือนหรือคล้ายกันจนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า แต่จำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทสำหรับสินค้าจำพวกที่ 18 ก่อนโจทก์ประมาณ 1 ปี โดยโจทก์ไม่ทราบมาก่อน นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าจึงไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าให้แก่โจทก์ ทั้ง ๆ ที่โจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเช่นเดียวกันนี้สำหรับสินค้าจำพวกที่ 25 ไว้แล้วและไม่ปรากฏว่านายทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้มีคำสั่งให้โจทก์และจำเลยปฏิบัติตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 24 กรณีจึงถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่ากัน แม้เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนไว้ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 67 เพราะมาตรานี้เป็นเรื่องผู้มีส่วนได้เสียฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนไว้แล้ว แต่โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า KIPLING ดีกว่าจำเลย ห้ามจำเลยขัดขวางหรือคัดค้านการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ และให้จำเลยเพิกถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า KIPLING ที่ได้ยื่นขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าถ้าไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 3,000 บาท แทนจำเลย
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยต่างยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทซึ่งนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าเห็นว่าเหมือนหรือคล้ายกันจนอาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งกำเนิดของสินค้า แต่จำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทสำหรับสินค้าจำพวกที่ 18 ก่อนโจทก์ประมาณ 1 ปี โดยโจทก์ไม่ทราบมาก่อน นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าจึงไม่รับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าให้แก่โจทก์ ทั้ง ๆ ที่โจทก์ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเช่นเดียวกันนี้สำหรับสินค้าจำพวกที่ 25 ไว้แล้วเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2532 และไม่ปรากฏว่านายทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้มีคำสั่งให้โจทก์และจำเลยปฏิบัติตามมาตรา 24 กรณีจึงถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่ากัน ด้วยเหตุนี้โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลยหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์และมีบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของโจทก์ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2543 เป็นพยานว่า โจทก์ประกอบอาชีพค้าขายสินค้า รองเท้า และกระเป๋าถือมาตั้งแต่ปี 2525 แต่เพิ่งจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าพิพาทเมื่อปี 2532 โดยคำว่า KIP มาจากคำว่า กิมล้ง ซึ่งเป็นชื่อบิดาโจทก์ และเนื่องจากโจทก์เกิดปีวอกจึงใช้คำว่า KIPLING ประกอบรูปลิงเป็นเครื่องหมายการค้า ส่วนจำเลยมีนายสัตยะพลผู้รับมอบอำนาจและหนังสือถ้อยแถลงแสดงความเป็นเจ้าของและการใช้เครื่องหมายการค้าของนายแอนดรูว์หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารของจำเลยเป็นพยานว่า จำเลยเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าพิพาทโดยนายชาร์เวียซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทจำเลยได้คิดประดิษฐ์คำว่า Kipling ประกอบรูปลิงหางยาว เป็นเครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าของจำเลย และจำเลยได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2529 จากนั้นได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้ในประเทศต่าง ๆ มากกว่า 20 ประเทศ ปัจจุบันนี้จำเลยมีสินค้าวางจำหน่ายในสถานที่ต่าง ๆ มากกว่า 5,000 แห่ง ใน 44 ประเทศ โดยเฉพาะในประเทศไทยจำเลยมีบริษัทมณียาคอนเซ็ปต์ส จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของจำเลยมาตั้งแต่ปี 2540 จำเลยได้โฆษณาสินค้าและเครื่องหมายการค้าของจำเลยในสื่อต่าง ๆ มากมาย ดังนี้ น่าเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าพิพาทและได้ใช้เครื่องหมายการค้าพิพาทมาก่อนโจทก์ แม้จะส่งสินค้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยหลังจากโจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทยแล้ว ก็ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิของจำเลยในอันที่จะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้ดีกว่าโจทก์ เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ใช้เครื่องหมายการค้าที่แท้จริงมาก่อนโจทก์ และการที่เครื่องหมายการค้าของโจทก์เหมือนกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยจนไม่มีที่ติ พฤติการณ์จึงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์คิดประดิษฐ์เครื่องหมายการค้าพิพาทขึ้นมาเองโดยไม่ได้ลอกเลียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า กลุ่มประเทศเบเนลักซ์และองค์การเครื่องหมายการค้านานาชาติ (OMPI) ไม่มีอำนาจรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า และทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามถ้อยคำแถลงของนายแอนดรูว์ เป็นเพียงสำเนารวมทั้งโจทก์ไม่มีโอกาสซักค้านปากคำนายแอนดรูว์ศาลจึงรับฟังเป็นพยานไม่ได้นั้น เห็นว่า หนังสือรับรองการต่ออายุเครื่องหมายการค้าของสำนักงานเครื่องหมายการค้าแห่งเบเนลักซ์ มีโนตารีปับลิกและเลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศราชอาณาจักรเบลเยี่ยมรับรอง ส่วนหนังสือจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าขององค์การเครื่องหมายการค้านานาชาติและหนังสือทะเบียนเครื่องหมายการค้าท้ายถ้อยแถลงของนายแอนดรูว์นั้น จำเลยได้อ้างบันทึกถ้อยแถลงของนายแอนดรูว์พร้อมเอกสารแนบท้ายเป็นพยานต่อศาลแทนการสืบพยาน และศาลมีคำสั่งอนุญาตแล้ว พยานหลักฐานดังกล่าวรวมทั้งถ้อยแถลงของนายแอนดรูว์ แม้เป็นพยานบอกเล่าก็รับฟังเป็นพยานได้ ตามข้อกำหนดคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2540 ของอธิบดีผู้พิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ข้อ 31 และ 37 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 และ 30 ทั้งหนังสือรับรองการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของสำนักงานเครื่องหมายการค้าแห่งเบเนลักซ์ และองค์การเครื่องหมายการค้านานาชาติก็ไม่มีเหตุน่าสงสัยว่าจะไม่มีอำนาจรับจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังที่โจทก์อุทธรณ์ ด้วยพยานหลักฐานและเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าพิพาทดีกว่าจำเลยและพิพากษายกฟ้อง จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นนี้ 1,500 บาท แทนจำเลย.

Share