แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยลงชื่อในหนังสือสัญญากู้โดยไม่กรอกข้อความ โจทก์ได้กรอกข้อความในหนังสือสัญญากู้นั้นว่าจำเลยกู้ยืมเงิน 60,000 บาท โดยจำเลยไม่ยินยอมสัญญากู้ยืมเงินไม่สมบูรณ์ ดังนี้โจทก์ไม่อาจนำมาเป็นหลักฐานฟ้องบังคับจำเลยได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 60,000 บาทโดยจำเลยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี หลังจากจำเลยได้รับเงินกู้ไปแล้ว จำเลยไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เลยโจทก์ให้ทนายความมีหนังสือทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระจำเลยค้างชำระดอกเบี้ยเป็นเงิน 12,750 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน72,750 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 72,750 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 60,000 บาทตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์มีอาชีพรับซื้อพืชผลจากชาวไร่ จำเลยเคยนำพืชผลไปขายให้โจทก์ ในระหว่างที่ยังมิได้เก็บพืชผล หากจำเลยไม่มีเงินจำเลยจะกู้ยืมเงินโจทก์ครั้งละ 200-300 บาท เมื่อเก็บพืชผลได้ก็จะนำไปขายให้โจทก์ โจทก์จะนำเงินที่ขายได้ไปหักหนี้เงินที่กู้ยืมพร้อมดอกเบี้ย หากมีเงินเหลือจึงจะจ่ายให้จำเลยในการกู้ยืมเงินจากโจทก์ โจทก์จะให้จำเลยลงชื่อในสัญญากู้ยืมเงินโดยมิได้กรอกข้อความไว้ จำเลยไม่เคยติค้างเงินที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทก์ จำเลยได้นำพืชผลไปขายให้แก่คนอื่น โจทก์ไม่พอใจจึงได้นำสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยลงชื่อไว้ไปกรอกข้อความแล้วนำมาฟ้องจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 60,000 บาทให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…จึงมีน้ำนักน่าเชื่อว่าจำเลยลงชื่อในเอกสารหมาย จ.1 โดยไม่กรอกข้อความ โจทก์ได้นำไปกรอกข้อความว่าจำเลยกู้ยืมเงิน 60,000 บาท ในภายหลังโดยจำเลยไม่ยินยอม สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์ ไม่อาจนำมาเป็นหลักฐานเพื่อฟ้องบังคับเอาแก่จำเลยได้…”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.