แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญาเรื่องก่อนกับคดีอาญาเรื่องนี้ แม้จะมีประเด็นอย่างเดียวกัน คือ ออกเช็คสั่งจ่ายเงินเพื่อประกันหนี้หรือเพื่อชำระหนี้ ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีก่อนก็ไม่ผูกพันจำเลยในคดีนี้ เพราะคดีอาญาโจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงที่กล่าวหานั้น จึงจะฟังลงโทษจำเลยได้ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจะมีผลผูกพันคดีอื่นได้ก็เฉพาะที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 และเมื่อข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีก่อนไม่ผูกพันจำเลยในคดีนี้ ศาลก็ย่อมวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีนี้ตามที่ปรากฏในสำนวน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันแจ้งข้อความเท็จในคดีอาญาซึ่งรู้อยู่แล้วว่ามิได้มีการกระทำผิดเกิดขึ้น แต่แจ้งว่าได้มีการกระทำผิดเกิดขึ้น โดยจำเลยแจ้งแก่เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนและมีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าโจทก์กระทำผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลในคดีอาญาฐานออกเช็คโดยเจตนาไม่ใช้เงินตามเช็ค คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษายกฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172, 173, 83, 86
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลแขวงพระนครเหนือเห็นว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้แจ้งความเท็จฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงยุติว่า จำเลยที่ 1-3 ได้แจ้งความว่า โจทก์กู้เงินจำเลยที่ 1 ไป ออกเช็คสั่งจ่ายล่วงหน้าชำระหนี้เช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในธนาคารไม่พอจ่ายอัยการได้ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลอาญา ศาลอาญายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ออกเช็คสั่งจ่ายเงิน 250,000 บาทให้จำเลยที่ 1 เป็นเรื่องประกันหนี้น้องชายโจทก์เกี่ยวกับการซื้อแร่ดีบุก ไม่ใช่โจทก์ไปกู้เงินจำเลยที่ 1 แล้วออกเช็คสั่งจ่ายเงินล่วงหน้าเป็นการชำระหนี้ดังกล่าวอ้าง คดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยเหตุที่จำเลยที่ 1, 2, 3 ไปแจ้งความและให้การไว้ต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ คดีนี้ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า โจทก์ออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 เพื่อชำระหนี้ ไม่ใช่ประกันหนี้อย่างคดีก่อน
ที่โจทก์ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลชี้ขาดไว้ในคดีก่อนมีผลผูกพันจำเลยในคดีนี้นั้น วินิจฉัยว่าคดีก่อนกับคดีนี้แม้จะมีประเด็นอย่างเดียวกัน คือ ออกเช็คสั่งจ่ายเงินเพื่อประกันหนี้หรือเพื่อชำระหนี้ ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษานั้นก็ไม่ผูกพันจำเลยในคดีนี้เพราะในคดีอาญาโจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงที่กล่าวหานั้นจึงจะฟังลงโทษจำเลยได้ ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจะผูกพันคดีอื่นได้ก็เฉพาะที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เท่านั้น
ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้ ศาลจะวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นเดียวกันให้แตกต่างกับคดีก่อนไม่ชอบ เพราะศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงยุติแล้วว่าออกเช็คสั่งจ่ายเงินเพื่อประกันหนี้และคดีถึงที่สุดแล้ว วินิจฉัยว่าเมื่อข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีก่อนไม่ผูกพันจำเลยในคดีนี้ ดังวินิจฉัยแล้ว ฉะนั้น ศาลก็ย่อมวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีนี้ตามที่ปรากฏในสำนวนนี้ได้ และคดีนี้ศาลฎีกาก็จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองฟังมา จึงไม่อาจจะวินิจฉัยให้เป็นอย่างอื่นตามฎีกาโจทก์ พิพากษายืน