แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาที่คัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้นตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้ายทุกตัว ต่างแต่ลักษณะตัวอักษรที่ใช้ในการพิมพ์ มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบและมีเหตุผลประกอบข้อโต้แย้งอย่างไร ทั้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมีขึ้นก่อนศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษา จึงไม่อาจโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ล่วงหน้าได้อยู่ในตัว ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 883,321.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ของต้นเงิน 740,553.30 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้น หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ดังกล่าว ให้บังคับจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 622 ตำบลศรีเมืองชุม อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พร้อมสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับชำระหนี้โจทก์จำนวน 883,321.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 740,543.30 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ รายละเอียดปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 26 ตุลาคม 2538 ขอให้ศาลพิพากษาตามยอม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 26 ตุลาคม 2538 คืนค่าขึ้นศาลแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 11,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ 883,321.78 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ของต้นเงิน 740,543.30 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2538 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ระหว่างฎีกา บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ยุติไปตามคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 เข้าทำสัญญาค้ำประกันโดยถูกหลอกลวง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ถูกหลอกลวงให้เข้าทำสัญญาค้ำประกันหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 บัญญัติว่า “ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นฎีกานั้น คู่ความจะต้องกล่าวไว้ชัดแจ้งในฎีกา และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์…” ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาที่คัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้นตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้ายทุกตัว ต่างแต่ลักษณะตัวอักษรที่ใช้ในการพิมพ์ มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบและมีเหตุผลประกอบข้อโต้แย้งอย่างไร ทั้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้มีขึ้นก่อนศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษา จึงไม่อาจโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ล่วงหน้าได้อยู่ในตัว ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยที่ 2 ทั้งหมด ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นให้เป็นพับ