คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1554-1555/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้ดูแลทรัพย์พิพาทไว้ จำเลยยืมทรัพย์พิพาทไปจากโจทก์ร่วม เมื่อเกิดการเสียหายขึ้นเพราะการกระทำผิดยักยอกของจำเลย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายในฐานะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์พิพาท มีอำนาจร้องทุกข์ตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) (ตามนัยฎีกาที่ 1341/2495, 420/2505, 562/2505) แม้ในฟ้องจะบรรยายคลาดเคลื่อนว่าใครเป็นเจ้าทรัพย์ ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความต่างกับฟ้อง
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยยืมทรัพย์ไป แล้วทุจริตยักยอกเอาไว้เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวเสีย ย่อมมีความผิดในทางอาญา มิใช่เป็นเพียงเรื่องยืมทางแพ่งเท่านั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า “เมื่อเดือนตุลาคม 2506 และต่อมาประมาณปลายเดือนเมษายน 2507 จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันขอยืมเครื่องประทับไปหลายอย่าง (สร้อยคอและกลัดเสื้อรูปดอกไม้ แหวนเพชรเม็ดเดียว แหวนเพชรเม็ดเล็กเป็นรูป 4 เหลี่ยม แหวนทับทิมล้อมเพชร กำไลประดับเพชร สร้อยข้อมือนพเก้า จี้เพชรพร้อมสร้อยทองคำขาว แหวนมรกตล้อมเพชร ต่างหูเพชร นาฬิกาข้อมือประดับเพชร) ต้นเดือนมีนาคม 2510 โจทก์ร่วมทั้งสองได้ทวงถามของที่จำเลยยืมไป จำเลยทั้งสี่ปฏิเสธไม่ยอมคืนโดยระหว่างมีนาคม 2510 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยมีเจตนาทุจริตคิดยักยอกเอาทรัพย์ดังกล่าวไว้เป็นประโยชน์ส่วนตน” เป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม
คำแจ้งความที่มีความว่า”จึงได้มาแจ้งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อบุคคลทั้งสี่ต่อไป” นั้น เป็นการกล่าวหาโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ จึงเป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (7) เมื่อเจ้าพนักงานสอบสวนบันทึกข้อความคำร้องทุกข์ไว้ในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันและผู้ร้องทุกข์ได้ลงชื่อไว้แล้ว จึงเป็นการบันทึกคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 123 วรรค 3

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องและแก้ฟ้องเป็นใจความอย่างเดียวกัน นายนภา รัตนวิโรจน์ กับนายธาดา รัตนวิโรจน์ เข้าเป็นโจทก์ร่วมทั้งสองสำนวน ว่านางสฤษดิ์ รัตนวิโรจน์ ได้ยกทรัพย์ให้นางสาววิไลลักษณ์ แต่ให้โจทก์ร่วมทั้งสองเก็บรักษาและครอบครองดูแลไว้แทน จำเลยได้ร่วมกันยักยอกทรัพย์นั้นไปจากโจทก์ร่วมทั้งสอง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒,๘๓
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การและเพิ่มเติมคำให้การว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์ไป ๘ ปาก เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานต่อไปทั้งสองฝ่าย และรับฟังข้อเท็จจริงว่า แม้โจทก์ร่วมทั้งสองจะมีสิทธิทำการรักษาทรัพย์ ก็มีสิทธิติดตามเอาคืนด้วยการเรียกร้องทางแพ่งเท่านั้น ไม่มีสิทธิดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจร้องทุกข์ได้ ผู้ว่าคดีไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมทั้งสองเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ยังไม่หมด ได้สั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วพิพากษา โดยรับฟังข้อเท็จจริงจากคำพยานโจทก์ว่านางสฤษกดิ์ยังมิได้ยกทรัพย์พิพาทให้นางสาววิไลลักษณ์ ยังมิได้ทำการส่งมอบทรัพย์ที่ให้ การให้จึงไม่สมบูรณ์ ทรัพย์ที่พิพาทมิใช่ของนางสาววิไลลักษณ์ เป็นมรดกของนางสฤษดิ์ โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงให้ยกฟ้อง คดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๒๒ จึงไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะรื้อฟื้นข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังว่าการให้ไม่สมบูรณ์ขึ้นวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้อง โจทก์ร่วมเป็นผู้ดูแลทรัพย์พิพาทไว้ จำเลยยืมทรัพย์พิพาทไปจากโจทก์ร่วม เมื่อเกิดการเสียหายขึ้นเพราะการกระทำผิดยักยอกของจำเลย ไม่ว่าทรัพย์จะยังคงเป็นของนายสฤษกดิ์แล้วตกเป็นทรัพย์มรดก หรือเป็นของนางวิไลลักษณ์ โจทก์ร่วมทั้งสองย่อมเป็นผู้เสียหายในฐานะทีเป็นผู้ดูแลรักษาทรัพย์ที่พิพาท มีอำนาจร้องทุกข์ตามกฎหมาย ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๕๑/๒๔๙๕, ๔๒๐/๒๕๐๕ และ ๕๖๒/๒๕๐๕ ซึ่งพิพากษาว่าผู้ดูแลครอบครองทรัพย์เป็นผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๔) และแม้จะบรรยายฟ้องคลาดเคลื่อนว่าใครเป็นเจ้าของทรัพย์ ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความต่างกับฟ้อง
เมื่อโจทก์บรรยายฟ้อง่าจำเลยยืมทรัพย์ไป แล้วทุจริตยักยอกเอาไว้เป็นผลประโยชน์ส่วนตัว เป็นข้อกล่าวหาทางอาญา หากได้ความตามฟ้อง จำเลยก็ต้องมีผิด มิใช่เป็นเรื่องยืมอันเป็นเรื่องทางแพ่ง
คำฟ้องของโจทก์ว่า “ต่อมาประมาณต้นเดือนมีนาคม ๒๕๑๐ ผู้เสียหายได้ทวงถามของที่จำเลยยืมไป จำเลยปฏิเสธไม่ยอมคืน โดยระหว่างเดือนมีนาคม ๒๕๑๐ วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดจำเลยมีเจตนาทุจริตคิดยักยอกทรัพย์ดังกล่าว” เป็นการบรรยายถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ แล้ว เข้าใจได้ว่า โจทก์กล่าวหาจำเลยว่ากระทำผิดในระหว่างต้นเดือนมีนาคมถึงวันที่ ทวงถาม ส่วนสถานที่กระทำผิด โจทก์บรรยายฟ้องว่า เหตุเกิดที่ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ หากจะแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณาดังจำเลยอ้าง มิใช่เป็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมอย่างใด
โจทก์ร่วมร้องทุกข์โดยลงชื่อไวในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันของสถานีตำรวจตอนท้ายข้อความว่า “จึงได้มาแจ้งให้พนักงานสอบสวนทำการดำเนินคดีต่อบุคคลทั้งสี่ต่อไป” เป็นข้อความที่แจ้งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสี่ เป็นการแสดงเจตนาจะให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ เป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๗) และรายงานนั้นเป็นการบันทึกคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๓ วรรค ๓
ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดมิให้สืบพยาน ทำให้ไม่สามารพิจารณาชี้ขาดได้ สมควรให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
พิพากษายืนในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share