แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การในตอนต้นแต่เพียงว่า.ฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริง. นอกจากที่จำเลยให้การต่อไปนี้ ขอให้ถือว่าจำเลยปฏิเสธทั้งสิ้น และในคำให้การต่อไปของจำเลย.ก็มิได้แสดงให้ชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับ.หรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ที่ว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาทมา 40 ปีย่อมได้กรรมสิทธิ์. เช่นนี้ กรณีจึงมีลักษณะเป็นว่าจำเลยเพียงแต่กล่าวปฏิเสธลอยๆ. และมิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่า.ยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธนั้น คดีจึงต้องฟังว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครอง.
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่6406 ซึ่งที่ดินแปลงนี้มีแนวเขตติดต่อทางด้านใต้กับที่ดินของจำเลยโฉนดที่ 6405 ในการรังวัดสอบเขตปรากฏว่าโจทก์ได้ครอบครองรุกล้ำเข้าไปในเขตโฉนดของจำเลยเป็นจำนวนเนื้อที่ 3 งาน 36 วาซึ่งจำเลยได้แจ้งความประสงค์ว่า จำเลยจะแบ่งแยกโอนที่ดินส่วนที่เหลื่อมล้ำกัน อันมีเนื้อที่จำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ผู้ครอบครองต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 1-2 ได้ทำการแบ่งแยกที่ดินที่เหลื่อมล้ำกันนี้ออกเป็นโฉนดที่ 8579 แล้วจำเลยที่ 1-2 ได้ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินโฉนดดังกล่าวนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรเขยจำเลยที่ 1 และเป็นสามีจำเลยที่ 2 อันเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต แม้จะถือว่าที่ดินโฉนดที่ 8579 เป็นส่วนหนึ่งของโฉนดจำเลยแต่โจทก์ก็ได้ครอบครองที่ดินส่วนนั้นโดยสงบและเปิดเผยติดต่อกันกว่า40 ปีแล้ว โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครอง จำเลยไม่มีอำนาจเอาคืนได้ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดที่ 8579 เป็นที่ดินของโจทก์โดยทางครอบครอง ให้จำเลยคืนให้โจทก์และห้ามเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้นำช่างแผนที่ไปรังวัดที่ดินของจำเลยเพื่อแบ่งแยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 โจทก์คัดค้านว่าที่ดินของโจทก์ล้ำเข้ามาในที่ของจำเลยจำเลยก็ว่าที่ดินนั้นอยู่ในโฉนดของจำเลย เกิดโต้เถียงกัน จำเลยให้เจ้าพนักงานรังวัดส่วนที่เหลื่อมล้ำกันไว้เพื่อออกโฉนดใหม่อีกโฉนดหนึ่ง ผลที่สุดตกลงกันได้ โดยโจทก์ตกลงซื้อที่ดินส่วนนั้น คือ โฉนดที่ 8579 ในราคา 3,000 บาท แต่เมื่อถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์ไม่นำเงินมาชำระเป็นการผิดสัญญา จำเลยจึงโอนขายที่ดินโฉนดที่ 8579 ให้จำเลยที่ 3 ครอบครองมาจนทุกวันนี้มิได้ฉ้อโกงโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง เมื่อนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าตามฟ้องคำให้การ คดีคงมีประเด็นที่จะต้องสืบพยานว่าการที่จำเลยได้โอนขายที่ดินกันไปนั้นเป็นการกระทำที่สุจริตหรือไม่และกำหนดให้โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์นำสืบยังไม่พอฟังได้ชัดแจ้งว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาท และในข้อที่ว่า จำเลยที่ 1 โอนที่พิพาทให้จำเลยที่ 3 โดยไม่สุจริตนั้น โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็น จำเลยนำสืบน่าเชื่อว่ามีการซื้อขายกันจริงเพราะมีหลักฐานทางทะเบียน โจทก์จะยกการครอบครองมายันจำเลยที่ 3 ไม่ได้พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์สืบประเด็นเพียงข้อเดียวว่า จำเลยทำการโอนกันโดยสุจริตหรือไม่นั้น คดีจึงเป็นอันยุติลงว่าที่พิพาทเป็นที่ภายใต้กรรมสิทธิ์และการครอบครองของโจทก์ เพราะจำเลยมิได้คัดค้านแต่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามมิให้รับฟังนอกจากนี้แม้จะฟังว่าการโอนขายกันสุจริต ก็ยังไม่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์เพราะจำเลยที่ 3 มิได้สู้ว่าได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยให้การในตอนต้นแต่เพียงว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริง นอกจากที่จำเลยให้การต่อไปถือว่าจำเลยปฏิเสธทั้งสิ้น จำเลยมิได้ให้การชัดแจ้งว่ายอมรับหรือปฏิเสธในข้ออ้างโจทก์ที่ว่าโจทก์ครอบครองที่มา 40 ปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์กรณีจึงมีลักษณะเป็นว่าจำเลยไม่ได้ให้การโดยชัดแจ้งว่ายอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือบางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้นตามมาตรา 177 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ที่จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริง ขอปฏิเสธทั้งสิ้น นอกจากที่ให้การต่อไป จึงเป็นการกล่าวปฏิเสธลอย ๆ ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นไว้เมื่อจำเลยไม่โต้แย้งอย่างไร จึงต้องฟังว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครอง ฉะนั้น ย่อมทำให้คดีมีประเด็นแต่เพียงว่าการโอนขายไม่สุจริตเท่านั้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองกลับพิจารณาวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยเช่นนี้จึงเป็นการพิจารณาวินิจฉัยข้อเท็จจริงไม่ถูกต้องตามท้องสำนวน อย่างไรก็ดี คดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง 2,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง และต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างฟังมาว่า จำเลยที่ 3 ได้รับโอนที่พิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน กรณีเข้ามาตรา 1299 วรรค 2 ซึ่งปรากฏว่าสิทธิครอบครองของโจทก์ยยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มา จึงไม่อาจยกขึ้นต่อสู้จำเลยที่ 3ผู้รับโอนโดยสุจริตโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนแล้วที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธิยกมาตรา 1299 ขึ้นอ้างเพราะไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การนั้น ก็ปรากฏว่าประเด็นข้อนี้ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้วโดยละเอียด ซึ่งศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน.