แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 1 นาฬิกา การที่จะมีพยานอื่นร่วมรู้เห็นเหตุการณ์ด้วยคงเป็นไปได้ยาก ผู้เสียหายที่ 1 เป็นคนขับรถยนต์แท็กซี่รับจ้างน่าจะต้องมีความระมัดระวังในการรับผู้โดยสารในยามวิกาลเป็นพิเศษ ขณะรถของผู้เสียหายที่ 1 ติดไฟสัญญาณจราจรอยู่ที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ซึ่งมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าจากตึกบริเวณนั้นและใต้ทางด่วนสามารถมองเห็นได้ จำเลยทั้งสองเดินเข้ามาที่รถ ผู้เสียหายที่ 1 ย่อมมีโอกาสเห็นรูปร่างหน้าตาของจำเลยทั้งสองได้ชัดเจน เมื่อจำเลยทั้งสองขึ้นรถแล้ว จำเลยที่ 1 พูดกับผู้เสียหายที่ 1 หลายครั้ง โดยบอกให้ไปส่งที่โรงเรียนดุสิต ขณะที่รถแล่นไปถึงกลางซอยระนอง 2 จำเลยที่ 1 บอกให้หยุดรถจากนั้นก็บอกให้เลื่อนรถไปอีก 2 ถึง 3 เมตร และขณะที่จำเลยทั้งสองจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็บอกให้ผู้เสียหายที่ 1 ส่งกระเป๋าสตางค์ให้และเป็นคนปลดเข็มขัดนิรภัยพร้อมกับเอื้อมมือไปเปิดประตูรถด้านตรงข้ามและผลักตัวผู้เสียหายที่ 1 ตกลงจากรถก่อนที่จะขับรถหลบหนีไป ระยะเวลาตั้งแต่ผู้เสียหายที่ 1 เห็นจำเลยทั้งสองเดินมาขึ้นรถจนกระทั่งหลบหนีไป ผู้เสียหายที่ 1ได้มีโอกาสเห็นรูปร่างหน้าตาและใกล้ชิดจำเลยทั้งสองเป็นเวลานาน แม้จำเลยที่ 2จะนั่งอยู่ทางด้านหลัง แต่ก็อยู่ในวิสัยที่ผู้เสียหายที่ 1 สามารถสังเกตเห็นรูปร่างหน้าตาจำเลยที่ 2 ได้ หลังเกิดเหตุ ผู้เสียหายที่ 1 ก็ยืนยันต่อพนักงานสอบสวนว่าจำคนร้ายทั้งสองได้ โดยบอกว่าคนร้ายที่เป็นชายไว้ผมยาว ส่วนคนร้ายที่เป็นหญิงรูปร่างผอมสูง ประกอบกับการได้ตัวจำเลยทั้งสองมาดำเนินคดีก็เพราะจำเลยทั้งสองถูกจับกุมในข้อหาร่วมกันใช้มีดจี้ชิงทรัพย์คนขับรถยนต์แท๊กซี่ในท้องที่ของสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน ในเวลาประมาณ 3 นาฬิกา พฤติการณ์แห่งคดีมีรายละเอียดคล้ายคลึงกับคนร้ายจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายที่ 1 ระยะเวลาเกิดเหตุใกล้เคียงกัน เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ชี้ตัวก็ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่เกิดเหตุจนกระทั่งจับกุมจำเลยทั้งสองได้และมีการชี้ตัวห่างกันเพียง 2 วันจึงไม่มีข้อน่าสงสัยว่าผู้เสียหายที่ 1 จะจำตัวคนร้ายผิดพลาด แม้ผู้เสียหายที่ 1 จะเบิกความว่าคนร้ายทั้งสองแต่งกายด้วยเสื้อผ้าลักษณะอย่างไร สีอะไรจำไม่ได้ก็มิได้เป็นข้อพิรุธแต่ประการใดเพราะเหตุเกิดเวลากลางคืนและจำเลยทั้งสองก็ไม่ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีลักษณะและสีสันให้เป็นที่น่าสังเกตผิดปกติธรรมดาทั่วไป พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานชิงทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339,371, 83, 91 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 760 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 ให้นับโทษจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำที่ 10374/2540 และหมายเลขดำที่ 214/2541 ของศาลชั้นต้น ตามลำดับ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำที่ 10374/2540 และหมายเลขดำที่ 214/2541 ของศาลชั้นต้น ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง 371 ประกอบด้วยมาตรา 83การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานชิงทรัพย์จำคุกคนละ 10 ปี ฐานพาอาวุธ ปรับคนละ 100 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 760 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 และให้นับโทษจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำที่ 10374/2540 คดีหมายเลขแดงที่ 4130/2541 (ที่ถูก 5130/2541) ของศาลชั้นต้น ส่วนคดีหมายเลขดำที่ 214/2541 ของศาลชั้นต้น ศาลยังไม่มีคำพิพากษาจึงไม่อาจนับโทษต่อให้ได้ ให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนนี้
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุมีคนร้าย 2 คน เป็นชายและหญิงร่วมกันใช้มีดเป็นอาวุธชิงทรัพย์นายทำนอง ไชยเสนา ผู้เสียหายที่ 1 ได้เงิน 760 บาท และรถยนต์หมายเลขทะเบียน9ท-3630 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 คัน ราคา 650,000 บาท ของบริษัทฐิติกรจำกัด ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายที่ 1ไป คดีมีปัญหาชั้นฎีกาว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายดังกล่าวหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 เป็นพยานเบิกความว่าเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2540 เวลาประมาณ 1 นาฬิกา ขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ขับรถยนต์แท๊กซี่หาผู้โดยสารมาติดสัญญาณไฟจราจรที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ซึ่งมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าจากตึกในบริเวณนั้นและใต้ทางด่วนสามารถมองเห็นได้ จำเลยทั้งสองได้เดินเข้ามาที่รถผู้เสียหายที่ 1เมื่อมาถึงจำเลยที่ 1 เปิดประตูขึ้นนั่งคู่กับคนขับทางด้านซ้าย ส่วนจำเลยที่ 2ขึ้นนั่งที่เบาะหลัง จำเลยที่ 1 ว่าจ้างให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปส่งที่โรงเรียนดุสิตผู้เสียหายที่ 1 ออกรถมุ่งหน้าไปทางถนนราชวิถี เมื่อไปถึงกลางซอยระนอง 2จำเลยที่ 1 บอกให้รถหยุดและล้วงเอามีดพับปลายแหลมออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังจี้ที่เอวซ้ายผู้เสียหายที่ 1 ขณะนั้นผู้เสียหายที่ 1 ก็รู้สึกว่าจำเลยที่ 2 ใช้มีดจี้ที่เอวด้านหลังด้วย จำเลยที่ 1 ล้วงกระเป๋าเสื้อผู้เสียหายที่ 1ได้เงินไป 700 บาท และให้ผู้เสียหายที่ 1 ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมา ผู้เสียหายที่ 1จึงได้ส่งมอบกระเป๋าสตางค์ซึ่งมีเงินอยู่ประมาณ 60 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อได้ทรัพย์แล้วจำเลยที่ 1 ปลดเข็มขัดนิรภัยของผู้เสียหายที่ 1 ออกและผลักผู้เสียหายที่ 1ตกลงจากรถไป จากนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถคันดังกล่าวหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุโดยมีผู้เสียหายที่ 1 วิ่งตามและร้องเรียกให้คนช่วย จนกระทั่งถึงถนนพระรามที่ 5 มีรถสามล้อเครื่องแล่นผ่านมา 1 คัน ผู้เสียหายที่ 1 ได้เรียกให้ช่วยพาไปส่งที่สถานีตำรวจนครบาลดุสิต ผู้เสียหายที่ 1 เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อร้อยตำรวจเอกสมปอง ศรีเพ็ชร ต่อมาวันที่ 7 เดือนเดียวกันได้รับแจ้งจากร้อยตำรวจเอกสมปองว่าจับกุมคนร้ายได้แล้ว ผู้เสียหายที่ 1 ได้ไปชี้ตัวจำเลยทั้งสองว่าเป็นคนร้ายตามบันทึกการชี้ตัวและภาพถ่ายหมาย จ.1 ถึง จ.4 คดีนี้โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1เป็นประจักษ์พยานสำคัญเพียงปากเดียว มีปัญหาว่าคำเบิกความของพยานปากนี้จะรับฟังได้เพียงใด เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 1 นาฬิกา การที่จะมีพยานอื่นร่วมรู้เห็นเหตุการณ์ด้วยคงเป็นไปได้ยาก ผู้เสียหายที่ 1 เป็นคนขับรถยนต์แท๊กซี่รับจ้างน่าจะต้องมีความระมัดระวังในการรับผู้โดยสารในยามวิกาลเป็นพิเศษตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ได้ความว่า ขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 รับตัวจำเลยทั้งสองขึ้นรถนั้น รถของผู้เสียหายที่ 1 ติดไฟสัญญาณจราจรอยู่ที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ซึ่งมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าจากตึกบริเวณนั้นและใต้ทางด่วนสามารถมองเห็นได้ จำเลยทั้งสองเดินเข้ามาที่รถจำเลยที่ 1 เปิดประตูรถด้านหน้าขึ้นนั่งคู่กับคนขับ ส่วนจำเลยที่ 2 ขึ้นนั่งทางด้านหลังสภาพการณ์ที่จำเลยทั้งสองเดินตรงมาที่รถขณะที่รถของผู้เสียหายที่ 1 ติดไฟสัญญาณจราจรอยู่ ผู้เสียหายที่ 1ย่อมมีโอกาสได้เห็นรูปร่างหน้าตาของจำเลยทั้งสองได้ชัดเจน เมื่อจำเลยทั้งสองขึ้นรถแล้ว จำเลยที่ 1 ซึ่งนั่งอยู่ข้างผู้เสียหายที่ 1 ก็ได้พูดกับผู้เสียหายที่ 1 หลายครั้งโดยครั้งแรกบอกให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปส่งที่โรงเรียนดุสิต ขณะที่รถแล่นไปถึงกลางซอยระนอง 2 จำเลยที่ 1 ก็บอกให้รถหยุด เมื่อผู้เสียหายที่ 1 หยุดรถที่บริเวณหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีไฟฟ้าสว่าง จำเลยที่ 1 ได้บอกให้เลื่อนรถไปอีก2 ถึง 3 เมตร ขณะที่จำเลยทั้งสองจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็บอกให้ผู้เสียหายที่ 1 ส่งกระเป๋าสตางค์ให้และเป็นคนปลดเข็มขัดนิรภัยพร้อมกับเอื้อมมือไปเปิดประตูรถด้านตรงข้ามและผลักตัวผู้เสียหายที่ 1 ตกลงจากรถก่อนที่จะขับรถหลบหนีไป ระยะเวลาตั้งแต่ผู้เสียหายที่ 1 เห็นจำเลยทั้งสองเดินมาขึ้นรถจนกระทั่งหลบหนีไป ผู้เสียหายที่ 1 ได้มีโอกาสเห็นรูปร่างหน้าตาและใกล้ชิดจำเลยทั้งสองเป็นเวลานาน แม้จำเลยที่ 2 จะนั่งอยู่ทางด้านหลัง แต่ก็อยู่ในวิสัยที่ผู้เสียหายที่ 1สามารถสังเกตเห็นรูปร่างหน้าตาจำเลยที่ 2 ได้ หลังเกิดเหตุ ผู้เสียหายที่ 1 ก็ยืนยันต่อร้อยตำรวจเอกสมปองพนักงานสอบสวนว่าจำคนร้ายทั้งสองได้ เมื่อนายมนูสมบุญผล ผู้ดูแลผลประโยชน์ของผู้เสียหายที่ 2 ได้พบผู้เสียหายที่ 1 ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 1 ก็ยังยืนยันว่าจำคนร้ายทั้งสองได้โดยบอกว่าคนร้ายที่เป็นชายไว้ผมยาว ส่วนคนร้ายที่เป็นหญิงรูปร่างผอมสูง จึงน่าเชื่อว่าผู้เสียหายที่ 1 จำคนร้ายทั้งสองได้จริง สำหรับการได้ตัวจำเลยทั้งสองมาดำเนินคดีนั้นได้ความว่า จำเลยทั้งสองถูกจับกุมในข้อหาร่วมกันใช้อาวุธมีดจี้ชิงทรัพย์คนขับรถยนต์แท๊กซี่ในท้องที่ของสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน เหตุเกิดเวลาประมาณ 3 นาฬิกา พฤติการณ์แห่งคดีมีรายละเอียดคล้ายคลึงกับคนร้ายที่จี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายที่ 1 ระยะเวลาเกิดเหตุใกล้เคียงกัน เมื่อจำเลยทั้งสองถูกจับกุมในคดีดังกล่าวแล้ว พนักงานสอบสวนได้ขออายัดตัวและจัดให้ผู้เสียหายที่ 1ชี้ตัวคนร้ายปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 ชี้ตัวจำเลยทั้งสองยืนยันว่าเป็นคนร้ายคดีนี้ระยะเวลาตั้งแต่เกิดเหตุจนกระทั่งจับกุมจำเลยทั้งสองได้และมีการชี้ตัวห่างกันเพียง 2 วัน จึงไม่มีข้อน่าระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายที่ 1 จะจำตัวคนร้ายผิดพลาดผู้เสียหายที่ 1 จะเบิกความว่าคนร้ายทั้งสองแต่งกายด้วยเสื้อผ้าลักษณะอย่างไรสีอะไรจำไม่ได้ ก็มิได้เป็นข้อพิรุธ แต่ประการใด เพราะเหตุเกิดเวลากลางคืนและจำเลยทั้งสองก็ไม่ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีลักษณะและสีสันให้เป็นที่น่าสังเกตผิดปกติธรรมดาทั่วไป จำเลยทั้งสองมิได้นำสืบพยานหลักฐานหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ