คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 174/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างขับรถของบริษัท ข.บริษัท ข.เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารประจำทางได้นำรถยนต์มาเดินร่วมในเส้นทางเดินรถของจำเลยที่ 1โดยพ่นสีเดียวกับสีรถยนต์โดยสารประจำทางของจำเลยที่ 1 และมีตราของจำเลยที่ 1 ที่ข้างรถทั้งสองข้างพนักงานเก็บเงินค่าโดยสารได้รับเงินเดือนจากจำเลยที่ 1 ถือว่าบริษัท ข.ร่วมกิจการเดินรถกับจำเลยที่ 1 การที่รถยนต์โดยสารประจำทางมาเดินรับส่งคนโดยสารในลักษณะเช่นนี้ ถือว่าเป็นกิจการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ย่อมเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ด้วย
การที่ห้ามล้อเท้าของรถยนต์เกิดใช้การไม่ได้ในขณะขับ เป็นเหตุให้รถยนต์ชนรถยนต์สามล้อ ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย เพราะยังอยู่ในวิสัยที่ผู้ขับขี่อาจป้องกันได้ถ้าหากใช้ความระมัดระวังตามสมควร โดยตรวจดูสภาพของรถให้เรียบร้อยก่อนนำออกไปรับส่งผู้โดยสาร
การที่รัฐวิสาหกิจออกค่ารักษาพยาบาลให้แก่พนักงานของตนไปแล้วหาทำให้ผู้ทำละเมิดและนายจ้างพ้นความรับผิดในการชดใช้ค่ารักษาพยาบาลนั้นต่อผู้เสียหายไม่
ผู้ตายอายุ 50 ปี ไม่ปรากฏว่ามีโรคร้ายประจำตัว และขณะนั้นโจทก์ที่ 1 อายุ 46 ปีปัจจุบันการแพทย์และสาธารณสุขเจริญขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ช่วงชีวิตของบุคคลทั่วไปยาวขึ้น การกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการขาดไร้อุปการะให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเวลา 10 ปีนั้น ควรแก่พฤติการณ์แล้ว
การที่ศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการขาดไร้อุปการะเป็นกำหนดเวลาแน่นอนและคำนวณเป็นเงินก้อนจำนวนหนึ่งออกมาโดยไม่ต้องรอฟังว่าผู้ขาดไร้อุปการะจะมีชีวิตต่อไปอีกเป็นเวลานานเท่าใดนั้น เป็นการตัดสินตามข้อหาในคำฟ้องและใช้ดุลพินิจไปตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
หนี้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการขาดไร้อุปการะที่ศาลกำหนดให้จำเลยชำระแก่โจทก์มิใช่หนี้ในอนาคต แต่เป็นหนี้เงินที่จำเลยจะต้องชำระทันที จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัด
ผู้เสียหายย่อมฟ้องนายจ้างของผู้ทำละเมิดให้ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ผู้ทำละเมิดกระทำไปในทางการที่จ้างได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวและแจ้งถึงค่าเสียหายก่อน เพราะถือว่านายจ้างซึ่งเป็นลูกหนี้ได้ผิดนัดมาตั้งแต่เวลาที่ทำละเมิดแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายทองสา วันทองสุข กับโจทก์ที่ ๑ เป็นสามีภริยากันมีบุตรด้วยกัน ๓ คน คือ โจทก์ที่ ๒ อายุ ๑๕ ปี โจทก์ที่ ๓ อายุ ๑๓ ปี และโจทก์ที่ ๔ อายุ ๗ ปี จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารประจำทางคันหมายเลขทะเบียน ๑ จ – ๗๘๗๒และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์คันดังกล่าวในทางการจ้างของจำเลยที่ ๑ โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์สามล้อรับจ้างคันหมายเลขทะเบียน ๑ ส – ๔๔๖๕ ที่นายทองสาขับ นายทองสาได้รับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ๙ วันจึงตาย เสียค่ารักษาพยาบาล ๑๖,๐๐๐ บาท ค่าพาหนะไปกลับของโจทก์และญาติ ๙๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาศพและสวดอภิธรรม ๕ วันเป็นเงิน ๑๒,๕๐๐ บาท จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปลงศพในอนาคต ๓๑,๘๐๐ บาท นายทองสาได้รับเงินเดือน ๓,๘๔๐ บาท เงินช่วยเหลือบุตรคนละ ๕๐ บาทเงินช่วยค่าครองชีพเดือนละ ๔๐๐ บาท และรายได้จากการขับรถยนต์สามล้อรับจ้างอีกวันละ ๑๕๐ บาท โจทก์ที่ ๑ ขอค่าสินไหมทดแทนเพื่อการขาดไร้อุปการะ ๑๐ ปี เป็นเงิน ๔๒๐,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๔ ขอจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะรวมทั้งค่าช่วยเหลือบุตรคนละ ๕๐ บาทต่อเดือน จนกว่าจะมีอายุครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์ เป็นเงิน ๖๔,๘๐๐ บาท ๗๘,๖๐๐ บาท และ ๑๒๓,๖๐๐ บาท ตามลำดับ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนรวม ๗๔๘,๒๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่ามิใช่เจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารตามฟ้อง และมิได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ มิได้ขับรถโดยประมาท แต่เป็นเหตุสุดวิสัยเพราะห้ามล้อรถใช้การไม่ได้โดยกะทันหัน นายทองสามิได้มีรายได้มากมายดังที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ที่ ๑ ขาดไร้อุปการะไม่เกินเดือนละ ๒,๕๐๐ บาท โจทก์ที่เหลือไม่เกินเดือนละ ๖๐๐ บาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลจากจำเลย เพราะการสื่อสารแห่งประเทศไทยได้ออกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้แล้วค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาศพและสวดพระอภิธรรมไม่ควรเกิน ๕,๐๐๐ บาท ค่าปลงศพในอนาคตไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาทโจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนจำเลยจึงยังไม่ผิดนัดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน ๕๑๖,๔๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างของบริษัทขวานเพชรบริการ จำกัด จำเลยที่ ๑ มิได้ว่าจ้างจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ก็มิได้รับสินจ้างจากจำเลยที่ ๑ บริษัทขวานเพชรบริการ จำกัด ผู้เป็นเจ้าของ ได้นำรถยนต์โดยสารประจำทางตามฟ้องมาเดินร่วมในเส้นทางเดินรถของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ ตกลงให้เข้ามาเดินรถยนต์โดยสารประจำทางตามฟ้องพ่นสีเดียวกับสีรถยนต์โดยสารประจำทางของจำเลยที่ ๑ และมีตราของจำเลยที่ ๑ ที่ข้างรถทั้งสองข้าง พนักงานเก็บเงินค่าโดยสารประจำรถยนต์โดยสารประจำทางตามฟ้องได้รับเงินเดือนจากจำเลยที่ ๑ ถือว่าบริษัทขวานเพชรบริการ จำกัด ร่วมกิจการเดินรถกับจำเลยที่ ๑ การที่รถยนต์โดยสารประจำทางตามฟ้องมาเดินรับส่งคนโดยสารในลักษณะเช่นนี้ ถือว่าเป็นกิจการของจำเลยที่ ๑ ด้วย จำเลยที่ ๒ คนขับรถยนต์โดยสารประจำทางตามฟ้องซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทขวานเพชรบริการ จำกัด ย่อมเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ด้วย
การที่ห้ามล้อเท้าของรถยนต์โดยสารประจำทางตามฟ้องใช้การไม่ได้ในขณะเกิดเหตุนั้น ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย เพราะยังอยู่ในวิสัยที่จำเลยที่ ๒ ผู้ขับอาจจะป้องกันได้ถ้าหากใช้ความระมัดระวังตามสมควร โดยตรวจดูสภาพของรถให้เรียบร้อยก่อนนำรถออกไปรับส่งผู้โดยสาร ดังนั้นการที่ห้ามล้อเกิดใช้การไม่ได้ในขณะขับจึงเป็นการประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๒ เมื่อรถยนต์โดยสารประจำทางตามฟ้องที่จำเลยที่ ๒ ขับชนรถยนต์สามล้อรับจ้างที่นายทองสาขับ เพราะเหตุห้ามล้อรถยนต์โดยสารประจำทางตามฟ้องใช้การไม่ได้จนเป็นเหตุให้นายทองสาถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยที่ ๒ จึงเป็นการละเมิด
การที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยออกค่ารักษาพยาบาลนายทองสาเป็นเรื่องที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยสงเคราะห์พนักงานของตน ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ไม่ทำให้จำเลยที่ ๒ ผู้ทำละเมิดพ้นความรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ตนได้กระทำ เมื่อจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดเพื่อค่ารักษาพยาบาลนายทองสาแล้ว จำเลยที่ ๑ ซึ่งถือว่าเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดด้วย
ขณะถึงแก่ความตายนายทองสาอายุ ๕๐ ปี ไม่ปรากฏว่ามีโรคร้ายแรงประจำตัว และขณะนั้นโจทก์ที่ ๑ อายุ ๔๖ ปี ปัจจุบันการแพทย์และสาธารณสุขเจริญขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ช่วงชีวิตของบุคคลทั่วไปยาวขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการขาดไร้อุปการะให้แก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเวลา ๑๐ ปีนั้น ควรแก่พฤติการณ์แล้ว
การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าสินไหททดแทนเพื่อการขาดไร้อุปการะเป็นกำหนดเวลาที่แน่นอนและคำนวณเป็นเงินก้อนจำนวนหนึ่งออกมา โดยไม่ต้องรอฟังว่าผู้ขาดไร้อุปการะจะมีชีวิตต่อไปอีกเป็นเวลานานเท่าใดนั้นเป็นการตัดสินตามข้อหาในคำฟ้องและใช้ดุลพินิจไปตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว
ศาลได้กำหนดเงินค่าสินไหมทดแทนเพื่อการขาดไร้อุปการะที่จำเลยทั้งสองจะต้องชำระแก่โจทก์ไว้เป็นจำนวนแน่นอน ส่วนที่วินิจฉัยให้โจทก์คนใดได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการขาดไร้อุปการะเดือนละเท่าใดเป็นเวลานานเท่าใดนั้น ก็เพื่อหาจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนเพื่อการขาดไร้อุปการะที่โจทก์แต่ละคนจะได้รับตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด เมื่อหาจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ได้และศาลกำหนดให้จำเลยชำระแก่โจทก์ตามจำนวนนั้นแล้ว หนี้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการขาดไร้อุปการะที่ศาลกำหนดนี้จึงมิใช่หนี้ในอนาคต แต่เป็น หนี้เงินที่จำเลยจะต้องชำระทันที จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัด
จำเลยที่ ๒ ซึ่งถือได้ว่าเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๒ ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ ๒ ได้กระทำ จำเลยที่ ๑ จึงอยู่ในฐานะลูกหนี้เช่นเดียวกับจำเลยที่ ๒ หนี้ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นหนี้หนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ย่อมได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด ดังนั้นโจทก์ทั้งสี่จึงไม่ต้องบอกกล่าวและแจ้งถึงค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้เสียก่อนฟ้อง
พิพากษายืน.

Share