คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2517/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องเรียกเงินค่ากระแสไฟฟ้าที่ค้างชำระ แม้ไม่บรรยายว่าจำเลยใช้ไฟฟ้าจากเลขวัดหน่วยที่เท่าใดถึงหน่วยที่เท่าใดก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบ
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโจทก์ดำเนินกิจการสาธารณูปโภคซึ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ประโยชน์ของรัฐและประชาชนดังที่บัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ.2503 มาตรา 6, 8, 41 หาใช่เป็นการประกอบกิจการค้าหากำไรตามปกติไม่ โจทก์จึงมิใช่เป็นพ่อค้าตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) สิทธิเรียกร้องค่ากระแสไฟฟ้าของโจทก์ไม่อยู่ในบังคับอายุความสองปี และโดยที่ค่ากระแสไฟฟ้าประจำเดือนมิใช่จำนวนเงินที่ตกลงไว้แน่นอน แม้จะกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลากรณีก็ไม่ต้องด้วยอายุความห้าปีตามมาตรา 166 จึงต้องนำอายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนดสิบปีตามมาตรา 164 มาใช้บังคับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ.๒๕๐๓ เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๑๐ จำเลยที่ ๑ ขอติดตั้งหม้อแปลงใช้ไฟฟ้า ๓๘๐ โวลท์ ๓ สาย ขนาด ๒๕๐ กิโลวัตต์ เพื่อใช้ในกิจการโรงภาพยนตร์วิสต้ารามาและสถานโบว์ลิ่งของจำเลยที่ ๑ เจ้าหน้าที่ของโจทก์ดำเนินการติดตั้งหม้อแปลงและมาตรวัดไฟฟ้า (มีเตอร์) ตลอดจนจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ จำเลยที่ ๑ ชำระค่ากระแสไฟฟ้าแก่โจทก์ตลอดมา ครั้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ เจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าของจำเลยที่ ๑ ที่โรงภาพยนตร์วิสต้ารามาได้จำนวน ๑๖๒,๘๐๐ หน่วยคิดเป็นเงิน ๘๓,๐๒๓ บาท การไฟฟ้าจังหวัดอุดรธานีออกบิลเรียกเก็บเงินจำเลยที่ ๑ ชำระให้เพียง ๑๖,๘๔๓ บาท ๓๓ สตางค์ อีก ๖๖,๑๗๙ บาท ๖๗ สตางค์ จำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ยอมชำระ จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นกิจการสาขาของจำเลยที่ ๒ ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์รวม ๓ ฉบับ ใจความว่า หากจำเลยที่ ๑ ผิดนัดชำระเงินค่ากระแสไฟฟ้า จำเลยที่ ๓ ยอมชำระแทนในจำนวนไม่เกิน ๕๙,๐๐๐ บาท การค้ำประกันของจำเลยที่ ๓ ผูกพันจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ต้องรับผิดชำระเงินค่ากระแสไฟฟ้าแทนจำเลยที่ ๑ ตามจำนวนเงินที่ค้ำประกัน กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากเงินค้างชำระจำนวน ๖๖,๑๗๙ บาท ๖๗ สตางค์ นับแต่เดือนมีนาคม ๒๕๑๕ ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๙,๙๒๖ บาท ๙๕ สตางค์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๖,๑๐๖ บาท ๖๒ สตางค์ ขอให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๗๖,๑๐๖ บาท ๖๒ สตางค์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ชำระแทนตามสัญญาค้ำประกัน กับให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๖๖,๑๗๙ บาท ๖๗ สตางค์ นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ซื้อกระแสไฟฟ้าจากโจทก์ โจทก์ส่งบิลเรียกเก็บค่าไฟฟ้าประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ เป็นเงิน ๘๓,๐๒๓ บาท นับแต่ปี ๒๕๑๐ ถึงบัดนี้จำเลยใช้กระแสไฟฟ้าไม่เกินเดือนละ ๑๗,๐๐๐ บาท ถ้าเป็นฤดูหนาวก็ประมาณเดือนละ ๘,๐๐๐ บาท หม้อวัดไฟฟ้าของจำเลยเสียหายขัดข้องเพราะรถบริษัทยูคอน จำกัด ชนหรือเพราะถูกกลั่นแกล้งจากพนักงานไฟฟ้าของโจทก์ ตัวเลขจึงสูงเพิ่มขึ้นจากจำนวนปกติเป็น ๓-๔ เท่า ซึ่งมิได้เกิดจากการใช้ไฟฟ้าของจำเลย จำเลยไม่ต้องรับผิดและเมื่อเกิดปัญหาเรื่องนี้โจทก์อนุญาตให้จำเลยเสียค่ากระแสไฟฟ้าโดยวิธีเฉลี่ยตามระเบียบของ การไฟฟ้าเป็นเงิน ๑๖,๘๔๓ บาท โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกเก็บเงินที่คิดผิดพลาด ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่บรรยายว่าเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ จำเลยใช้ไฟฟ้าจากเลขวัดหน่วยที่เท่าใดถึงหน่วยที่เท่าใดและฟ้องขาดอายุความ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่ายอดเงินค่ากระแสไฟฟ้าเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ จำนวน ๖๖,๑๗๙ บาท ๖๗ สตางค์ ไม่เป็นความจริง เพราะนับแต่ปี ๒๕๑๓ ถึงสิ้นปี ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ ไม่เคยเสียเงินค่ากระแสไฟฟ้าเกินเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท เป็นไปไม่ได้ที่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ เดือนเดียวค่ากระแสไฟฟ้าจะทวีสูงขึ้นถึง ๓ เท่าเศษอย่างไรก็ตามความรับผิดของจำเลยที่ ๒ มีจำนวนเพียง ๕๙,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๖๖,๑๗๙ บาท ๖๗ สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทนในวงเงินไม่เกิน ๕๙,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า ในปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยที่ ๑ ให้การว่าโจทก์ไม่บรรยายว่าเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ จำเลยใช้ไฟฟ้าจากเลขวัดหน่วยที่เท่าใดถึงหน่วยที่เท่าใด ข้อนี้โจทก์กล่าวมาในฟ้องโดยแจ้งชัดซึ่งข้อเท็จจริงอันเป็นสภาพแห่งข้อหาว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ เจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าของจำเลยที่ ๑ คิดเป็นเงิน ๘๓,๐๒๓ บาท จำเลยย่อมเข้าใจข้อหาได้ดีข้อโต้เถียงของจำเลยเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบ ฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ แล้ว หาใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุมดังข้อฎีกาของจำเลยไม่
ปัญหาเกี่ยวกับอายุความ จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าหนี้สินอันใดก่อนเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ ขาดอายุความแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ดำเนินกิจการสาธารณูปโภคซึ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ประโยชน์ของรัฐและประชาชนดังที่บัญญัติไว้ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ.๒๕๐๓ มาตรา ๖, ๘, ๔๑ หาใช่เป็นการประกอบกิจการค้าหากำไรตามปกติไม่ โจทก์จึงมิใช่เป็นพ่อค้าตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ (๑) ซึ่งจะต้องใช้อายุความสองปีบังคับแก่คดีดังข้อฎีกาของจำเลย และโดยที่ค่ากระแสไฟฟ้าประจำเดือนมิใช่จำนวนเงินที่ตกลงไว้แน่นอน แม้จะกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลากรณีของโจทก์ก็ไม่ต้องด้วยอายุความห้าปี ตามมาตรา ๑๖๖ จึงต้องอายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนดสิบปีตามมาตรา ๑๖๔ มาใช้บังคับ สิทธิเรียกร้องค่ากระแสไฟฟ้าในเดือนตุลาคม ๒๕๑๔ ถึงเดือนมกราคม ๒๕๑๕ นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๒ ปีเศษ คดีโจทก์จึงหาขาดอายุความไม่
พิพากษายืน

Share