แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
หลังจากที่ ป. ขับรถคันเกิดเหตุชนกับรถที่โจทก์นั่งโดยสารแล้วจำเลยไปดูรถที่เกิดเหตุและรับว่าเป็นเจ้าของรถ โดยอ้างว่า ป. คนขับเป็นหลานภริยาจำเลยภายในรถของจำเลยมีอุปกรณ์การก่อสร้างอยู่และจำเลยได้มาเจรจาและต่อรองเรื่องค่าเสียหายแก่ผู้บาดเจ็บนั้น กรณียังไม่เพียงพอที่จะให้รับฟังได้ว่า ป.เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยได้ขับรถคันเกิดเหตุในทางการที่จ้างหรือกระทำการภายในขอบเขตอำนาจของตัวแทนที่จำเลยจะต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่านายประคอง พันธ์เรือง เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บ-0384 สุพรรณบุรี ไปในทางการที่จ้างหรือทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายจากจำเลย โดยขับรถยนต์ด้วยความประมาทชนกับรถที่โจทก์โดยสารมา จนโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้บังคับจำเลยรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ทั้งสิ้น 623,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้เป็นผู้กระทำละเมิด ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างทางอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ได้ให้นายประคองคนงานของบริษัทก่อสร้างเป็นผู้ขับรถ เหตุละเมิดเกิดจากความประมาทเลินเล่อของคนขับรถยนต์ของฝ่ายโจทก์เองขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บ-0384 สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม2535เวลาประมาณ 7 นาฬิกา โจทก์กับบุคคลอื่นรวม 11 คน ได้นั่งรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน 1 ป-9511 กรุงเทพมหานคร มีนายดารา อยู่สวัสดิ์เป็นผู้ขับออกเดินทางจากจังหวัดสมุทรปราการเพื่อไปจังหวัดนครสวรรค์โดยรถแล่นไปทางจังหวัดชัยนาท เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุบริเวณถนนสายเอเซีย หลักกิโลเมตรที่ 150 เศษขณะที่ขับตามหลังรถยนต์คันของจำเลยซึ่งมีนายประคอง พันธ์เรือง เป็นผู้ขับ เกิดชนกันขึ้นเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บต้องตัดขาข้างซ้าย บุคคลอื่น ๆ ที่ไปด้วยกันกับโจทก์ได้รับบาดเจ็บทุกคน มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า นายประคอง พันธ์เรืองเป็นลูกจ้างหรือเป็นตัวแทนของจำเลย ได้ขับรถไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีพยานมาเบิกความรวม 4 ปาก คือตัวโจทก์ นายดารา อยู่สวัสดิ์ พระภิกษุเลื่อม งามขำ และนายนำ งามขำ แต่โจทก์มิได้เบิกความถึงจำเลยหรือนายประคองคนขับรถเลย ส่วนนายดาราเบิกความว่าเกิดเหตุแล้วนายประคองวิ่งหนีไป หลังจากนั้น 15 นาที จำเลยมายืนดูรถ พยานทราบในภายหลังว่าจำเลยมีอาชีพรับเหมาก่อสร้างถนนในช่วงที่เกิดเหตุ และทราบว่านายประคองเป็นหลานภริยาจำเลยและขับรถคันเกิดเหตุของจำเลยเป็นประจำ ขณะชนกับรถยนต์ของจำเลยพบอุปกรณ์การก่อสร้างด้วย พยานสอบถามจำเลยขณะที่มายืนดูรถ จำเลยรับว่าเป็นเจ้าของรถคันเกิดเหตุพระภิกษุเลื่อมเบิกความว่าจำเลยรับว่าเป็นเจ้าของรถคนขับรถเป็นหลานภริยาจำเลยและจำเลยกับผู้บาดเจ็บได้มีการเจรจาค่าเสียหายกันส่วนนายนำเบิกความว่าพยานเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเป็นเงิน 250,000 บาทจำเลยว่าแพงเกินไปอีก 7 วันค่อยมาพบใหม่ และภายในรถยนต์ของจำเลยมีอุปกรณ์การก่อสร้างอยู่ด้วยเท่านั้น โดยเฉพาะพระภิกษุเลื่อมเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าไม่ทราบว่าจำเลยจะจ้างนายประคองขับรถยนต์ให้จำเลยหรือไม่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยกับนายประคองมีความสัมพันธ์ในอันที่จำเลยจะต้องรับผิดร่วมหรือแทนกันในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างและนายประคองซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างหรือในฐานะตัวการกับตัวแทน โดยตัวแทนได้กระทำการภายในขอบเขตอำนาจของตัวแทนที่กระทำการแทนจำเลยซึ่งเป็นตัวการอย่างไร ข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่าจำเลยไปดูรถที่เกิดเหตุรับว่าเป็นเจ้าของรถ นายประคองคนขับเป็นหลานภริยาจำเลยภายในรถของจำเลยมีอุปกรณ์การก่อสร้างอยู่และจำเลยได้มาเจรจาและต่อรองเรื่องค่าเสียหายแก่ผู้บาดเจ็บ ยังไม่เพียงพอที่จะให้รับฟังว่านายประคอง พันธ์เรืองเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยได้ขับรถคันเกิดเหตุในทางการที่จ้างหรือกระทำการภายในขอบเขตอำนาจของตัวแทนที่จำเลยจะต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน