แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2540จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อ้างว่ากรรมการของจำเลยเพิ่งพบคำบังคับเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2541จึงทราบเรื่องที่ถูกโจทก์ฟ้องจึงเป็นกรณีที่จำเลยอ้างว่าจำเลย ไม่อาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่การส่งคำบังคับมีผลใช้ได้โดยพฤติการณ์นอกเหนือ ไม่อาจบังคับได้ ดังนี้ จำเลยจะต้องยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือ ไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง คือภายในวันที่ 24 มกราคม 2541 แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่ 29 มกราคม 2541 จึงเกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับ ได้สิ้นสุดลงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิ ขอให้พิจารณาใหม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยฉบับแรกโดยวินิจฉัยว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เกินกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดจำเลยมิได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นย่อมเป็นอันถึงที่สุด แต่จำเลยก็ยังมีสิทธิ ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้อีกภายในกำหนด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่ง แต่จำเลยหาได้กระทำ การที่จำเลยยื่นคำร้องฉบับที่สอง ขอให้พิจารณาใหม่เมื่อเกินกำหนดเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในครั้งนี้ก็มิใช่เป็นคำร้องขอ แก้ไขข้อผิดพลาดเกี่ยวกับวันเดือนปีที่จำเลยทราบคำบังคับ ตามที่บรรยายมาในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในครั้งแรก หรือเป็นส่วนหนึ่งของคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในครั้งแรก เพราะเป็นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ที่จำเลยยื่นภายหลัง จากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องให้ขอให้พิจารณาใหม่ ของจำเลยในครั้งแรกแล้ว จึงชอบที่ศาลจะมีคำสั่งยกคำร้อง ขอให้พิจารณาใหม่ฉบับที่สองนี้ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2539 ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,234,008.74 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี จากต้นเงิน 1,127,781.06 บาท นับแต่วันที่ 27 กันยายน 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ จำเลยมิได้มาฟังคำพิพากษาโจทก์จึงแถลงขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับศาลชั้นต้นออกคำบังคับลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 ให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน หากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดคำบังคับ วันที่ 22 และ 27พฤศจิกายน 2540 พนักงานเดินหมายได้นำคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยที่สำนักงานใหญ่และสำนักงานสาขาตามลำดับ แต่ส่งไม่ได้จึงปิดคำบังคับไว้ที่ภูมิลำเนาทั้งสองของจำเลยตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ต่อมาวันที่ 14 มกราคม 2541 จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ โดยอ้างว่าจำเลยไม่ทราบว่าถูกฟ้อง จึงมิได้เข้ามาสู้คดี จำเลยเพิ่งทราบเรื่องที่ถูกฟ้องเมื่อกรรมการของจำเลยทราบคำบังคับในวันที่ 9 มกราคม 2540 จำเลยมิได้จงใจขาดนัดหากจำเลยมีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดี ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้อง ของ จำเลยว่า กรรมการของจำเลยทราบคำบังคับของศาลเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2540 ถือว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงจำเลยจึงต้องยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันดังกล่าว การที่จำเลยยื่นคำร้องเข้ามาวันที่ 14 มกราคม 2541 จึงเกินกำหนดเวลาที่กฎหมายบัญญัติ ให้ยกคำร้อง
วันที่ 29 มกราคม 2541 จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่อีกอ้างว่า จำเลยเพิ่งทราบเรื่องที่ถูกฟ้องเมื่อกรรมการของจำเลยทราบคำบังคับในวันที่ 9 มกราคม 2541 ซึ่งตามคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ฉบับลงวันที่ 14 มกราคม 2541 ได้พิมพ์ข้อความผิดพลาดเป็นวันที่ 9 มกราคม 2540 ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งยกคำร้องจำเลยมิได้จงใจขาดนัด หากจำเลยมีโอกาสเข้ามาต่อสู้คดี ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทราบเรื่องที่ถูกโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2541 อันเป็นวันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง จำเลยต้องยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันดังกล่าว แต่จำเลยนำคำร้องมายื่นเกินกำหนดตามกฎหมาย จึงให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยมีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “คำขอให้พิจารณาใหม่นั้น ให้ยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยอนึ่ง ถ้าคู่ความที่ขาดนัดไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่บัญญัติไว้ข้างบนนี้โดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง” คดีนี้ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2540 จำเลยอ้างว่ากรรมการของจำเลยเพิ่งพบคำบังคับเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2541 จึงทราบเรื่องที่ถูกโจทก์ฟ้อง เป็นกรณีที่จำเลยอ้างว่าจำเลยไม่อาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่การส่งคำบังคับมีผลใช้ได้โดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ดังนี้ จำเลยจะต้องยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง คือภายในวันที่ 24 มกราคม 2541 แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ครั้งหลังในวันที่ 29 มกราคม 2541 จึงเกินกำหนด 15 วันนับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้ ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2541 ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์ไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง แต่ในคำร้องได้บรรยายวันที่กรรมการของจำเลยพบคำบังคับซึ่งเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลงผิดพลาดไปเป็นวันที่ 9 มกราคม 2540 เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยโดยผิดหลงว่าจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เกินกำหนด 15 วันนับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง ทั้ง ๆ ที่ศาลชั้นต้นเพิ่งออกคำบังคับตามคำพิพากษาเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 จึงเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยจะได้ทราบคำบังคับในวันที่ 9 มกราคม 2540 นั้น เห็นว่า แม้เป็นความจริงตามที่จำเลยฎีกา แต่ปรากฏว่าเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยฉบับลงวันที่ 14 มกราคม 2541โดยวินิจฉัยว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เกินกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด จำเลยก็หาได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวนั้นไม่ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นอันถึงที่สุด และจำเลยยังอาจยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้อีกภายในวันที่ 24 มกราคม 2541 แต่จำเลยหาได้กระทำไม่ กลับมายื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในครั้งนี้เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2541 ซึ่งเกินกำหนดเวลาตามที่กฎหมายกำหนดตามที่วินิจฉัยข้างต้น ทั้งคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในครั้งนี้ก็หาใช่เป็นคำร้องขอแก้ไขข้อผิดพลาดเกี่ยวกับวันเดือนปีที่จำเลยทราบคำบังคับตามที่บรรยายมาในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในครั้งแรกตามที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาหรือเป็นส่วนหนึ่งของคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ในครั้งแรกไม่ เพราะเป็นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ที่จำเลยยื่นภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยในครั้งแรกแล้ว
พิพากษายืน