แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมผู้เสียหายที่ได้ก่อการทะเลาะวิวาทก่อนหน้านั้นแต่เหตุแห่งการทะเลาะวิวาทได้ยุติลงแล้ว เหตุวิวาทยังไม่ชัดแจ้งว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดไม่ใช่การกระทำผิดซึ่งหน้า โดยมีคู่กรณีกับผู้เสียหายชี้ให้จับ แต่มิได้ร้องทุกข์ไว้ตามระเบียบอีกทั้งไม่ใช่กรณีที่มีเหตุสงสัยว่ากระทำความผิดมาแล้วจะหลบหนี จำเลยซึ่งไม่มีหมายจับไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะจับผู้เสียหาย จำเลยจับผู้เสียหายโดยไม่แจ้งข้อหาไม่ทำบันทึกจับกุม ไม่ส่งมอบตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี กลับนำไปควบคุมที่ด่านตรวจ ชี้เจตนาจำเลยว่ากระทำโดยโกรธแค้น แสดงอำนาจ เพื่อข่มขู่กลั่นแกล้งผู้เสียหายให้เดือดร้อนเสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องรุนแรงต่อความรู้สึกของประชาชนไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 310, 295, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 310 (ที่ถูกมาตรา 310 วรรคหนึ่ง) ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดแต่เพียงกระทงเดียว ตามมาตรา 90 จำคุก 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางรัก วันเวลาเกิดเหตุจำเลยจับผู้เสียหายใส่กุญแจมือจากร้านพีพีสนุกเกอร์ขึ้นรถยนต์ไปควบคุมที่ด่านตรวจชั่วคราวของเจ้าพนักงานตำรวจภายหลังถูกเจ้าพนักงานตำรวจที่ด่านนำตัวไปดำเนินคดีข้อหาไม่พกบัตรประจำตัวประชาชน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายหรือไม่ ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายกับชายไม่ทราบชื่อวิวาทชกต่อยกันมีเจ้าพนักงานห้ามให้เลิกกันแล้ว ผู้เสียหายไปเล่นสนุกเกอร์ ต่อมาจำเลยกับชายคนที่ชกต่อยกับผู้เสียหายและพวกอีกคนหนึ่งเข้าไปหาผู้เสียหาย จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย จับใส่กุญแจมือ นำขึ้นรถยนต์ซึ่งจำเลยขับมีชายสองคนนั้นนั่งขนาบข้างไปที่ลานจอดรถสถานีตำรวจนครบาลบางรัก ระหว่างทางจำเลยข่มขู่โดยถามว่าสูบกัญชาหรือไม่ จะเอาข้อหาซ่องโจรหรือไม่ จะนำตัวไปทิ้งน้ำที่สะพานสาธรให้คุยกับปลา ที่ลานจอดรถจำเลยตบหน้าและชกหน้าผู้เสียหายอีกและพาผู้เสียหายไปไว้ที่ด่านตรวจรถ จำเลยพูดกับตำรวจที่ด่านตรวจ กูหาเหยื่อมาให้มึงแล้วจำเลยขับรถออกไป เห็นว่า เหตุการณ์ตามที่ผู้เสียหายเบิกความ ผู้เสียหายได้แจ้งต่อร้อยตำรวจเอกศิริพงษ์พนักงานสอบสวนแล้วตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2539ร้อยตำรวจเอกศิริพงษ์เบิกความรับว่าจริง และได้ส่งผู้เสียหายไปให้แพทย์ตรวจในวันนั้นเมื่อสอบสวนผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้ให้การเช่นที่เบิกความ โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยจับผู้เสียหายนำตัวไปถึงลานจอดรถสถานีตำรวจแล้ว ไม่ได้ส่งตัวให้แก่พนักงานสอบสวน แต่นำไปควบคุมที่ด่านตรวจ ผู้เสียหายยืนยันหนักแน่นมาแต่ต้น ตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.3 บันทึกแจ้งข้อกล่าวหาเอกสารหมาย จ.5ดังนี้น่าเชื่อว่าผู้เสียหายเบิกความตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จำเลยอ้างว่า จำเลยมีอำนาจจับผู้เสียหายเพราะนายพยัคฆ์แจ้งและชี้ตัวให้จับ ต้องใส่กุญแจมือเพราะผู้เสียหายมีพรรคพวกและไม่ยอมให้จับ ข้อนี้เห็นว่า เหตุทะเลาะวิวาทยุติลงแล้วก่อนหน้านั้นไม่ใช่การกระทำผิดซึ่งหน้าที่ว่านายพยัคฆ์ชี้ให้จับ เหตุวิวาทยังไม่รู้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดนายพยัคฆ์ไม่ได้ร้องทุกข์ไว้แล้วตามระเบียบ อีกทั้งไม่ใช่กรณีที่มีเหตุสงสัยว่ากระทำผิดมาแล้วจะหลบหนี จำเลยซึ่งไม่มีหมายจับไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะจับผู้เสียหาย ที่อ้างว่าต้องใส่กุญแจมือเพราะจำเลยไม่ยอมให้จับก็ไม่น่าเชื่อ การที่สามารถจับผู้เสียหายใส่กุญแจมือได้แสดงว่าไม่ได้ขัดขืน ที่ด่านตรวจมีเจ้าพนักงานตำรวจหลายคน จำเลยยังเอากุญแจมืออันอื่นมาเปลี่ยน ผู้เสียหายถูกควบคุมตัวอยู่จนด่านตรวจเลิกจึงถูกนำตัวไปสถานีตำรวจ จำเลยจับผู้เสียหายโดยไม่แจ้งข้อหาไม่ทำบันทึกจับกุม ไม่ส่งมอบตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี กลับนำไปควบคุมที่ด่านตรวจ ไม่ได้แจ้งร้อยตำรวจเอกยุทธพงษ์ให้ทราบว่า จับผู้เสียหายข้อหาอะไรจนร้อยตำรวจเอกยุทธพงษ์สอบถามผู้เสียหายและดำเนินคดีข้อหาไม่พกบัตรประจำตัวประชาชน ล้วนแต่ชี้เจตนาจำเลยว่ากระทำโดยโกรธแค้น แสดงอำนาจ เพื่อข่มขู่กลั่นแกล้งผู้เสียหายให้เดือดร้อนเสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามา ที่จำเลยขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องรุนแรงต่อความรู้สึกของประชาชน ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน