แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การมอบอำนาจให้ทนายความบอกกล่าวเลิกการเช่าตึกแถว ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ วันที่ 19 สิงหาคม 2480 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าตึกแถวเลขที่ 132 (เดิม 438 ค) ตำบลบางขุนพรหมอำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร จากนางสาวสง่า เชี่ยวโอสถ โดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า ค่าเช่าเดือนละ 15 บาท ตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้องเมื่อประมาณปีเศษมานี้ นางสาวสง่าตาย โจทก์เป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมจำเลยใช้ตึกแถวรายนี้ประกอบการค้า โจทก์เคยขอร้องจำเลยให้หาเช่าที่อื่น จำเลยเพิกเฉยเสีย โจทก์จึงได้มอบอำนาจให้ทนายโจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าให้จำเลยทราบล่วงหน้า 3 เดือนตามสัญญาครบกำหนดจำเลยหาออกไปไม่ จึงให้ทนายมีหนังสือบอกกล่าวซ้ำไปอีกจำเลยก็เพิกเฉยเสียจึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร กับให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 100 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไป
จำเลยแก้ว่า เดิมได้ทำหนังสือสัญญาเช่าจากนางสาวสง่าจริงแต่นางสาวสง่าได้บอกเลิกสัญญาเช่าต่อจำเลยแล้ว แต่ พ.ศ. 2489-2490ต่อมาจำเลยได้เช่าโดยไม่มีหนังสือสัญญาเช่า เนื่องจากนางสาวสง่าได้ขึ้นค่าเช่าเป็นเดือนละ 40 บาท โดยให้คำมั่นสัญญาว่าจะให้จำเลยเช่าได้ตลอดอายุของจำเลย เมื่อนางสาวสง่าตายแล้ว โจทก์ก็ได้เช่าต่อมาในอัตราค่าเช่าเดือนละ 40 บาท ในฐานะที่โจทก์เป็นผู้รับมรดกโจทก์ต้องรับข้อผูกพันตามคำมั่นสัญญาเช่า โจทก์หามีอำนาจบอกเลิกการเช่าไม่จำเลยได้เช่าห้องรายพิพาทเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยไม่เคยประกอบการค้าหรือมีสินค้าจำหน่าย จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า ห้องซึ่งจำเลยเช่าไม่ใช่เป็นเคหะ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ต้องห้าม การบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือหนังสือบอกกล่าวของทนายโจทก์อ้างแต่เพียงว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้เป็นผู้บอกกล่าว ไม่มีลายเซ็นของโจทก์ การบอกกล่าวจึงหาชอบด้วยกฎหมายไม่ ค่าเสียหายที่เรียกร้องเดือนละ 100 บาท ก็สูงเกินไปห้องพิพาทจะให้เช่าได้เพียงเดือนละ 40 บาท เป็นอย่างสูง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยได้เช่าห้องพิพาทเพื่อประกอบโรคศิลป์และทำการค้า ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน โจทก์มีสิทธิจะให้ทนายความบอกกล่าวเลิกการเช่าได้ ข้อต่อสู้ของจำเลยยืดยาววนเวียนฟุ่มเฟือยขัดกันเองฟังไม่ขึ้น ส่วนค่าเสียหายโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าได้เสียหายเดือนละ 100 บาท ควรให้เท่าอัตราค่าเช่าเดือนละ 40 บาท พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ40 บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากห้องพิพาท ให้เสียค่าธรรมเนียมค่าทนาย 100 บาท แทนโจทก์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นผู้พิจารณารับรองให้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงน่าฟังว่าจำเลยได้เช่าห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้า แม้จำเลยจะอยู่ในห้องพิพาทด้วยก็อยู่เพื่อดูแลการค้า ห้องพิพาทไม่ใช่เคหะ จำเลยหาได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันไม่ ที่จำเลยว่าแรกเช่าจำเลยเพียงแต่อยู่อาศัยต่อมาจึงทำการประกอบโรคศิลป์นั้น พยานจำเลยให้การแตกต่างกันฟังไม่ได้ ข้อที่ว่าการประกอบโรคศิลป์ไม่เป็นการประกอบการค้านั้น จำเลยได้ใช้ห้องพิพาทประกอบโรคศิลป์และขายยาด้วยไม่เป็นปัญหาว่าจำเลยไม่ได้ประกอบการค้า ข้อที่ว่าการมอบอำนาจให้บอกเลิกการเช่าต้องทำเป็นหนังสือเห็นว่าไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ เพราะการบอกเลิกการเช่ากฎหมายมิได้บังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ การมอบอำนาจให้ทนายบอกเลิกการเช่าจึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือ ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อประกอบโรคศิลป์และทำการค้าชอบแล้ว จึงพิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 50 บาท
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องพิพาท โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อประกอบโรคศิลป์และขายยา ห้องพิพาทไม่ใช่เคหะ จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง ให้รับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายข้อ 3 ข. 1, 2, 3 เท่านั้น
ศาลฎีกาได้ฟังคำแถลงและประชุมพิจารณาแล้ว คดีมีข้อวินิจฉัยเฉพาะข้อที่ศาลชั้นต้นสั่งให้รับฎีกาเท่านั้น ฎีกาข้อ 3 ข. 1 ว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อใช้เป็นที่ประกอบการค้าโจทก์หาได้บรรยายฟ้องไม่ว่าห้องพิพาทไม่ใช่เป็นเคหะนั้น เห็นว่าโจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยใช้ตึกแถวรายนี้ประกอบการค้า จำเลยเองก็เข้าใจดีแล้วว่าการประกอบการค้าคืออะไร จำเลยจึงได้ต่อสู้ว่าไม่เคยประกอบการค้าหรือมีสินค้าจำหน่าย ข้อ 3 ข. 2 ฎีกาว่าการประกอบโรคศิลป์หาใช่เป็นการค้าไม่นั้นข้อนี้ศาลทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยประกอบโรคศิลป์และขายยา และศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้า แม้จะอยู่ในห้องพิพาทด้วยก็อยู่เพื่อดูแลการค้า ห้องพิพาทไม่ใช่เคหะจำเลยจะเถียงว่าจำเลยใช้เป็นเคหะที่อยู่อาศัยนั้นเถียงไม่ขึ้นข้อ 3 ข. 3 ที่ฎีกาว่าการบอกกล่าวของทนายโจทก์เป็นการบอกกล่าวโดยพลการ หาได้รับมอบอำนาจจากตัวโจทก์เป็นลายลักษณ์อักษรตามข้อความในสัญญาเช่าไม่นั้น ข้อนี้จำเลยเองให้การแก้คดีว่าได้มีการบอกเลิกสัญญาเช่าต่อจำเลยแล้ว แต่ พ.ศ. 2489-2490 ต่อมาจำเลยได้เช่าโดยไม่มีหนังสือสัญญาเช่าอีก และจำเลยยังได้ให้การแก้คดีต่อไปอีกว่า เมื่อได้บอกเลิกสัญญาเช่าฉบับนี้กับจำเลยแล้วโจทก์กับจำเลยจึงหามีข้อผูกพันต่อกันตามหนังสือสัญญาเช่าที่จำเลยอ้างไม่ อีกทั้งการมอบอำนาจให้ทนายบอกกล่าวก็ไม่มีกฎหมายกำหนดให้ทำเป็นหนังสือ ข้อฎีกาต่าง ๆ ของจำเลยจึงฟังไม่ได้ให้ยกฎีกา พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายชั้นฎีกาแทนโจทก์อีก 50 บาท