แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำงานเป็นเจ้าพนักงานไปรษณีย์อนุญาตประจำอำเภอ ได้รับเงินค่าจ้างเป็นค่าทำการและส่วนลด ต่อมาได้เปลี่ยนเรียกว่าจ่ายเป็นค่าเหมาเดือน จำเลยได้จดบัญชีหลักฐานเท็จและยักยอกเงินรายได้ของไปรษณีย์อนุญาตนั้นไปดั่งนี้ จำเลยย่อมมีผิดตามมาตรา 315(3) แต่ไม่ผิดตามมาตรา 131,230 เพราะจำเลยไม่ใช่เจ้าพนักงานได้รับเงินเดือนตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายพลเรือน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องว่า จำเลยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ทำงานไปรษณีย์อนุญาตที่ประจำอำเภอเกษตรสมบูรณ์ และเป็นเจ้าพนักงานไปรษณีย์อนุญาตมีฐานะเป็นข้าราชการประเภทลูกจ้างชั่วคราว สังกัดกระทรวงคมนาคม รับเงินเดือนประเภทค่าใช้สอยของกองสื่อสาร กรมไปรษณีย์โทรเลข จำเลยได้บังอาจมีเจตนาทุจริตจดบัญชีหลักฐานการเงินให้เป็นเท็จแล้วเบียดบังยักยอกเงินรายได้ของไปรษณีย์อนุญาตเกษตรสมบูรณ์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นเงิน ๙๑,๒๐๐ บาท ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ม.๑๓๑,+๓๑๔,๒๓๐ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ.๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๒) มาตรา ๓ พ.ร.ก+.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.ลักษณะอาญา พ.ศ.๒๔๘๔ ม.๓ ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา ๓๑๙(๓) ให้จำคุก ๕ ปี ลดกึ่งหนึ่งตามมาตรา ๕๙ คงจำคุก ๒ ปี ๖ เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๑๓๑,๒๓๐
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยไม่ใช้เจ้าพนักงาน เพราะจำเลยไม่ได้เงินเดือนตามพ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการฝ่ายพลเรือน หากได้ค่าจ้างเป็นค่าทำการและส่วนลด ต่อมาเปลี่ยนเรียกว่าให้จ่ายเป็นค่าจ้างเหมาเดือน จึงลงโทษจำเลยตามที่โจทก์ฎีกาไม่ได้
พิพากษายืน