คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1544/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ จำเลยต่อสู้ว่าไม่เคยทำสัญญากู้ ไม่เคยรับเงินจากโจทก์ หากลายมือในสัญญากู้เป็นลายมือจำเลย ก็ขอต่อสู้ว่าโจทก์หลอกลวงให้เซ็น เมื่อสืบพยานโจทก์หมดแล้วจำเลยย่อมนำสืบหักล้างได้ตามข้อต่อสู้ อย่างน้อยจำเลยก็อาจที่จะอ้างตนเองเบิกความปฏิเสธการกู้เงินรายนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกต้นเงินและดอกเบี้ยจากจำเลยตามสัญญากู้

จำเลยต่อสู้ว่า ไม่เคยทำสัญญากู้ ไม่เคยรับเงินจากโจทก์หากลายมือในสัญญากู้เป็นของจำเลยจริง ก็ขอต่อสู้ว่าโจทก์หลอกลวงให้จำเลยเซ็น

วันชี้สองสถาน จำเลยตรวจดูสัญญากู้แล้วแถลงว่าจำเลยไม่ได้กู้เงิน ลายเซ็นในสัญญากู้ก็ไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลย เมื่อเช่นนี้ศาลชั้นต้นจึงเห็นว่า ข้อที่จำเลยต่อสู้ว่า ถูกหลอกลวง ไม่มีประเด็นที่จะสืบ ประเด็นมีว่าจำเลยกู้เงินตามฟ้องหรือไม่ ให้โจทก์นำสืบก่อน

ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จ จำเลยขอให้ส่งต้นสัญญากู้ไปให้ผู้ชำนาญของกรมตำรวจพิสูจน์ลายเซ็นของผู้กู้ ผู้ชำนาญพิสูจน์แล้วลงความเห็นในบันทึกการตรวจพิสูจน์ว่า ลายเซ็นในช่องผู้กู้ เป็นลายเซ็นของจำเลย ส่งมายังศาล จำเลยจึงแถลงว่าจะขอสืบพยานจำเลยต่อไป แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กู้ไม่ได้รับเงิน เป็นการปฏิเสธลอย ๆ จำเลยไม่มีประเด็นสืบ จึงงดสืบพยานจำเลยแล้วพิพากษาว่า จำเลยได้กู้เงินของโจทก์ไปและดอกเบี้ยค้างตามฟ้องจริง ให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างรวม 44,000 บาท กับให้ใช้ดอกเบี้ยอีกปีละ 4,000 บาทตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2500 จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นตัดประเด็นไม่ให้สืบพยานจำเลยต่อไปชอบแล้ว เพราะจำเลยให้การปฏิเสธลอย ๆ ว่าไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปจริงตามฟ้อง พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ก็ชอบที่จะให้จำเลยนำสืบหักล้างได้ตามข้อต่อสู้ เพราะอย่างน้อยจำเลยก็อาจที่จะอ้างตนเองเบิกความปฏิเสธการกู้เงินรายนี้ได้ ส่วนข้ออื่นจำเลยจะสืบได้หรือไม่เพียงไร ก็สุดแล้วแต่จำเลยจะสืบว่าอย่างไร หากไม่เป็นประเด็น จำเลยก็สืบไม่ได้เองอยู่ในตัว แต่เมื่อจำเลยอาจที่จะอ้างตนเองเป็นพยานได้เช่นนี้ การที่ศาลชั้นต้นด่วนตัดมิให้จำเลยสืบเสียทีเดียวนั้น จึงหาชอบไม่ พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลทั้งสองให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยต่อไป

Share