คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1540/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะได้ให้การแก้คดีว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามฟ้องจึงไม่มีอำนาจฟ้อง แต่จำเลยก็เบิกความยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินแล้ว ดังนี้แม้จะยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในโฉนดที่ดินมาเป็นของโจทก์ โจทก์ในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่เป็นเจ้าของภารยทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 ความเป็นญาติมิใช่เหตุผลที่จะต้องฟังว่าพยานจะเบิกความเข้าข้างกันเสมอไป คำเบิกความของพยานปากใดจะรับฟังได้หรือไม่สุดแล้วแต่เหตุผลในคำพยานนั้นเอง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3996 ส่วนโจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 751 แต่ยังมิได้แก้ทะเบียนหลังโฉนด โจทก์ทั้งสองได้เข้าทำนา ต่อมาภายหลังได้ปลูกอ้อยในที่ดินของโจทก์ทั้งสองซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลย โฉนดที่ดินเลขที่ 3997เดิมเป็นที่ดินของนายเล็ก ฟักทับ ต่อมานายเล็กขายให้นายสุชาติ วงษ์ไทย ท้ายที่สุดนางเข็มทอง วงษ์ไทย ทายาทของนายสุชาติขายให้จำเลยและจำเลยได้ครอบครอง ต่อมาจนบัดนี้ในที่ดินจำเลยมีทางกว้างประมาณ 2 วา ยาวตลอดที่ดินประมาณ 1 เส้นซึ่งเจ้าของเดิมและโจทก์ใช้ทางดังกล่าวมาแล้ว 60 ถึง 70 ปีครั้นเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2533 จำเลยเอาเสาปูนมาปักปิดกั้นทางเดินดังกล่าวทางด้านทิศตะวันออกและตะวันตกด้านละ 2 ถึง 3 ต้นโดยเจตนากลั่นแกล้ง โจทก์ทั้งสองไม่สามารถใช้ทางดังกล่าวได้เป็นเหตุให้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ขอให้พิพากษาว่าทางเดินพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องหมายสีแดงในที่ดินของจำเลยโฉนดที่ดินเลขที่ 3997 ตกเป็นทางภารจำยอม ให้จำเลยรื้อถอนเสาที่ปักปิดกั้นทางเดินและขนย้ายออกจากทางเดินดังกล่าวหากจำเลยไม่รื้อถอนก็ให้จำเลยออกค่าใช้จ่ายให้โจทก์รื้อถอนเองเป็นเงิน 100 บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่ใช่เจ้าของที่ดินตามฟ้องโจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง แผนที่สังเขปท้ายฟ้องไม่ถูกต้องนอกจากทางตามฟ้องแล้ว ยังมีทางผ่านที่ดินหมายเลข 3 เข้าถึงหมายเลข 2 และออกสู่ทางสาธารณะได้ ทางตามฟ้องเป็นทางเข้าที่ดินของจำเลย ไม่เคยมีผู้ใดใช้เดิน 60 ถึง 70 ปี และที่โจทก์อ้างว่าเจ้าของเดิมกับโจทก์ใช้เดินและใช้รถบรรทุกอ้อยเป็นเวลา25 ปี แล้ว ไม่เป็นความจริงเดิมเจ้าของที่ดินหมายเลข 2 และ 3ใช้ทางเดินผ่านที่ดินตนเอง จนกระทั่งเมื่อ 3 ถึง 4 ปี ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ทางดังกล่าวทรุดโทรม หากนำรถบรรทุกเข้าแล่นก็จะติดโคลนหล่มจึงถือวิสาสะเข้ามาใช้ทางในที่ดินจำเลย จำเลยทราบก็ไม่ได้ว่ากล่าวจนกระทั่งเดือนตุลาคม 2533 จำเลยเห็นว่าไม่เป็นการสมควรจึงได้นำเสาไปปักไว้เพื่อปิดกั้นไม่ให้ผู้อื่นถือวิสาสะใช้ทางเข้าที่ดินของจำเลย ทางดังกล่าวไม่ตกเป็นทางภารจำยอมของผู้หนึ่งผู้ใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางพิพาทตามแผนที่พิพาทแนวเส้นประสีแดงภายในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 3997 ของจำเลยเป็นทางภารจำยอมให้จำเลยรื้อถอนเสาที่ปักปิดกั้นทางพิพาทและขนย้ายออกไปจากทางพิพาท ห้ามมิให้จำเลยประกอบกรรมใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไป หรือเสื่อมความสะดวก คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า โจทก์ที่ 2 มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะได้ให้การแก้คดีว่าโจทก์ทั้งสองไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตามฟ้อง จึงไม่มีอำนาจฟ้องก็ตาม แต่จำเลยก็เบิกความยอมรับว่าโจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินแล้ว แม้ยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในโฉนดที่ดินมาเป็นของโจทก์ แต่โจทก์ในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่เป็นเจ้าของภารยทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387
ที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า ที่ดินของจำเลยไม่ได้ตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ เนื่องจากนายสมบูรณ์ เชาว์เครือพยานโจทก์กับโจทก์เกี่ยวข้องเป็นญาติกันโดยตรง ใช้นามสกุลเดียวกันมีภูมิลำเนาอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันย่อมต้องเบิกความให้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตน คำเบิกความของนายสมบูรณ์จึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังตรงข้ามกับนายผาด เกษี พยานจำเลย อดีตผู้ใหญ่บ้านและกำนันตำบลเบิกไพรก่อนนายสมบูรณ์และไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์และจำเลย ย่อมเบิกความเป็นกลางและรู้ความเป็นมาเกี่ยวกับทางพิพาทดีกว่านายสมบูรณ์นั้น เห็นว่า ความเป็นญาติมิใช่เหตุผลที่จะต้องฟังว่าพยานจะเบิกความเข้าข้างกันเสมอไป คำเบิกความของพยานปากใดจะรับฟังได้หรือไม่ สุดแล้วแต่เหตุผลในคำพยานนั้นเองและเห็นว่าโจทก์มีตัวโจทก์ทั้งสองเบิกความยืนยันว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ เดิมเมื่อประมาณ 60 ปีมาแล้วบิดามารดาโจทก์ที่ 1 และบิดาโจทก์ที่ 2 ยังทำนาในที่ดินต่างใช้เกวียนผ่านเข้าออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 3996 และโฉนดเลขที่ 751 ผ่านทางทิศใต้ของที่ดินจำเลยออกสู่ทางสาธารณะในที่ดินของจำเลยดังกล่าวมาเป็นเวลาประมาณ 30 ปี ต่อมาเปลี่ยนเป็นทำไร่อ้อยและใช้รถยนต์บรรทุกอ้อยผ่านเข้าออก โดยใช้ทางพิพาทมาจนบัดนี้เป็นเวลากว่า 10 ปี แล้ว โดยเจ้าของที่ดินเดิมไม่เคยหวงห้าม นายสมบูรณ์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านเบิกความว่าพยานเห็นมีการใช้ทางพิพาทผ่านที่ดินจำเลยมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ประมาณ 40 ปี มาแล้วในฐานะพยานเป็นผู้ใหญ่บ้านมาตั้งแต่ปี 2517จนถึงปัจจุบันยังเป็นอยู่และอยู่ในหมู่บ้านนั้นย่อมถือเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะที่จะรู้ความเป็นไปของที่ดินพิพาทและข้อพิพาทของผู้อยู่ในความปกครองได้ดี จึงรับฟังมาสนับสนุนคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองได้ ส่วนนายผาดพยานจำเลยแม้จะมีอดีตเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนันแต่ก็เกษียณอายุแล้วตั้งแต่ปี 2529ย่อมถือได้ว่ามิใช่เป็นผู้มีหน้าที่ต้องเอาใจใส่รู้เห็นความเป็นไปต่าง ๆ ในเขตที่เคยปกครองอีกต่อไปแล้ว ทั้งคำเบิกความก็ไม่ประสงค์ชอบด้วยเหตุผลและพยานเบิกความกลับไปกลับมาไม่อยู่กับร่อง กับรอยเช่นนี้อย่างน้อยก็เป็นการทำลายน้ำหนักถ้อยคำของตนเองมิให้เป็นที่เชื่อถือจึงมีน้ำหนักสู้คำเบิกความของนายสมบูรณ์พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ปกครองท้องที่ขณะเกิดเหตุไม่ได้ นั้นปรากฏตามแผนที่พิพาทว่า ที่ดินของโจทก์ที่ 2ด้านทิศตะวันออกติดกับที่ดินของบริษัทโซเทค จำกัด และมีรั้วลวดหนามปิดกั้นไว้ตลอดทั้งแนว มิได้มีทางสาธารณะอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินของโจทก์ที่ 2 ดังที่จำเลยอ้างแต่อย่างใดที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่าที่ดินของจำเลยตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ทั้งสองแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share