คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 951/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์จำเลยทำสัญญาปราณีประนอมยอมความโดยยอมเลิกคดีกันแล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้อง หรือที่จำเลยกล่าวในคำให้การก็ดี จะถือเอามาเป็นความจริงอย่างไร ในชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาท้ายยอมนั้นไม่ได้ ศาลได้แต่จะพิเคราะห์ดูถึงเจตนาอันแท้จริงของโจทก์จำเลยตามข้อความเท่าที่ปรากฏอยู่ในสัญญายอมนั้นเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้เช่าบ้านของนายโล่เฉี้ยง นายโล่เฉี้ยงได้ตกลงให้โจทก์สร้างและซ่อมแซมโรงเรือนที่ดินได้ โดยนายโล่เฉี้ยงยอมใช้ค่าซ่อมแซมและสิ่งปลูกสร้างตามราคา โจทก์ได้ซ่อมแซมเพิ่มเติมเรือนและปลูกสร้างโรงเรือนและอื่น ๆ รวม ๘๐๐๐ บาท นายโล่เฉี้ยงตกลงกับโจทก์ว่า ถ้าจะขายที่ดินรายนี้ ก็จะขายให้แก่โจทก์ นายโล่เฉี้ยงตายมา ๓ – ๔ ปีแล้ว จำเลยเป็นผู้รับมฤดกและเก็บเงินค่าเช่าเรือนจากโจทก์ตลอดมา บัดนี้จะขายให้แก่ผู้อื่น จึงขอให้จำเลยใช้เงิน ๘๐๐๐ บาท และให้จำเลยขายที่ดินรายนี้ให้โจทก์ตามราคาตลอด
จำเลยให้การว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความและฟ้องเคลือบคลุม จำเลยเคยเสนอขายโจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่ซื้อ ครั้นจำเลยไปตกลงราคาขายกับคนอื่น จึงแกล้งมาฟ้อง
ก่อนพิจารณาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาปราณีประนอมยอมความกันว่า “ข้อ ๑ โจทก์จำเลยตกลงเลิกคดีนี้โดยจำเลยยอมให้เงินโจทก์ ๓๐๐๐ บาทใน ๑๕ วัน และโจทก์ยอมรื้อถอนโรงเลี้ยงหมูมุงจากไป ส่วนโรงรมยางเตาอบ และอ่างที่ติดที่ และโรงกุดังนั้น ให้ตกเป็นของจำเลย ฯลฯ” และศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาจำเลยได้นำเงิน ๓๐๐๐ บาทมาวางศาล และโจทก์รับไปแล้ว จำเลยขอให้โจทก์ส่งมอบโรงงานรมยางและโรงสินค้าให้จำเลย โจทก์ไม่ยอมส่งมอบโดยถือว่าโจทก์ยังเป็นผู้เช่าจำเลยอยู่
ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์มอบโรงรมยาและโรงสินค้าให้จำเลยภายใน ๑๕ วัน ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นให้โจทก์ส่งมอบโรงงานรมยางและโรงสินค้าแก่จำเลยเป็นการเกินตกลงสัญญาปราณีประนอมยอมความ พิพากษากลับคำสั่ง ศาลชั้นต้นว่า โจทก์ไม่ต้องส่งมอบโรงรมยางและโรงสินค้าให้จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาปราณีประนอมยอมความที่โจทก์จำเลยตกลงทำกันต่อหน้าศาลแสดงอยู่แล้วว่า โจทก์จำเลยตกลงเลิกคดีกัน ข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในคำฟ้องหรือที่จำเลยกล่าวในคำให้การก็ดี จะถือเอามาเป็นความจริงอย่างไรในชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาห้ามยอมนั้นไม่ได้ ศาลจะต้องดูตามข้อความที่ปรากฏตามยอม เมื่อโจทก์ยอมให้สิ่งปลูกสร้างเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้ว จำเลยยอ่มที่จะใช้และรับประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นได้ทันที ที่จำเลยได้ชำระเงินเป็นค่าตอบแทนการปลูกสร้างเหล่านั้นให้แก่โจทก์ผู้ปลูกทำไป การที่โจทก์อ้างว่ามีสิทธิจะใช้และรับประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นโดยมีสัญญาเช่าเป็นนิติกรรมขัดอยู่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นข้อโต้แย้งสิทธิที่โจทก์อ้างขึ้นใหม่ สัญญาเช่าที่โจทก์อ้างนั้นเป็นเพียงเช่าห้องแถว ๓ ห้องเท่านั้น จะรวมไปถึงที่ที่ดิน ที่โรงรมยางและโรงกุดังปลูกอยู่หรือไม่ ยังพิพาทกันอยู่ก่อนทำสัญญาปราณีประนอมยอมความ เมื่อโจทก์ทำสัญญาปราณีประนอมยอมความอันมีข้อความดังกล่าว โดยไม่มีข้อแม้ว่าโจทก์ยังคงสงวนการครอบครองโรงรมยางและโรงกุดังต่อไปอีกแล้ว ย่อมหมายความว่า แม้โจทก์ยังมีสิทธิใช้ที่ดินนั้นตามสัญญาเช่า โจทก์ก็ยอสละสิทธินั้นแล้ว เพราะตามข้อความแห่งสัญญายอมเป็นที่เห็นได้ว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งเมื่อโจทก์ยอมรับเอาเงิน ๓๐๐๐ บาทของจำเลยไปแล้ว การยอมให้สิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตกเป็นของจำเลยต้องรวมถึงหน้าที่ส่งมอบตอบแทนการรับเงินนั้นในเวลาเดียวกันด้วย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share