คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1538/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การตีความประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 207(1)จะต้องตีความอย่างจำกัด อนุมาตรานี้บัญญัติท้าวถึงกรณีตามมาตรา 204 เมื่อมาตรา 204 ถูกยกเลิกไปแล้ว ผลก็เป็นเสมือนว่ามาตรา 207(1) ถูกยกเลิกไปด้วยโดยปริยาย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่และยังติดใจขอให้ไต่สวนคำร้องอยู่ ศาลควรไต่สวนพยานให้สิ้นกระแสความเสียก่อนจะพิจารณาพฤติการณ์ต่างๆ ตามสำนวนแล้วฟังว่าจำเลยจงใจขาดนัดและไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาต ให้จำเลยยื่นคำให้การหรือยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ตามนัยมาตรา 205(3)แล้วสั่งยกคำร้องเสียดังนี้ หาชอบไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่นา ขอให้ขับไล่และใช้ค่าเสียหาย

จำเลยที่ 2, 3, 4 ให้การต่อสู้คดี แต่จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ขับไล่จำเลยทั้ง 4 และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย

จำเลยที่ 2, 3, 4 ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน อ่านคำพิพากษาเมื่อ6 สิงหาคม 2505

ครั้นวันที่ 30 พฤศจิกายน 2505 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า ขณะโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ไปทำงานอยู่ที่สวนยางที่อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ห่างไกลทางคมนาคม มารดาก็ไม่ทราบที่อยู่ จำเลยที่ 1 จึงขาดนัดโดยไม่ได้จงใจ จำเลยที่ 1 มีหลักฐานการซื้อที่พิพาทจากโจทก์และได้ครอบครองมาในฐานะเจ้าของ กับได้มอบให้มารดาครอบครองแทนตลอดมาขอให้สั่งให้จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การต่อสู้คดี และให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่

(เจ้าหน้าที่รายงานว่า นำคำบังคับไปส่งให้จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2505 แต่ไม่พบตัวจำเลยและไม่มีใครรับแทน)

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207(1) ให้ยกคำร้องโดยมิได้ไต่สวนคำร้อง

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มาตรา 207 เป็นบทวางหลักทั่วไปว่าคู่ความฝ่ายใดซึ่งศาลแสดงว่าขาดนัดพิจารณาและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แพ้คดีในประเด็นที่พิพาท คู่ความฝ่ายนั้นอาจมีคำขอให้มีการพิจารณาใหม่ได้ ทั้งนี้ เว้นแต่กรณีจะต้องด้วยข้อยกเว้นอย่างหนึ่งอย่างใดในอนุมาตรา (1) (2) หรือ (3) จึงจะขอไม่ได้ ดังนั้นการตีความตามอนุมาตรา (1) จึงเป็นการตีความในข้อยกเว้นและในบทบัญญัติที่ตัดสินสิทธิบุคคลซึ่งไม่เป็นคุณแก่ผู้ขาดนัดพิจารณาจึงต้องตีความอย่างจำกัด มาตรา 207(1) บัญญัติว่า “คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้จำเลยหลายคนแพ้คดีดังบัญญัติไว้ในมาตรา 204” เมื่อมาตรา 204 ถูกยกเลิกไปแล้ว ผลก็เสมือนว่ามาตรา 207(1) ถูกยกเลิกไปด้วยโดยปริยาย ดังนั้น มาตรา 207(1) จึงไม่เป็นข้อห้ามมิให้จำเลยที่ 1 มีคำขอให้พิจารณาใหม่

และที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 1 จงใจขาดนัด และไม่มีเหตุอันสมควร (ที่จะอนุญาตให้ยื่นคำให้การหรือยกคดีนี้ขึ้นพิจารณาใหม่ตามนัยมาตรา 205(3)) แม้จะเป็นการฟังจากพฤติการณ์ต่าง ๆ ตามสำนวนก็ดี แต่การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 1 โดยมิได้ไต่สวนพยาน (ใน) เมื่อจำเลยยังติดใจขอให้ไต่สวนอยู่เช่นนี้ ก็เชื่อว่ายังมิได้ไต่สวนพยานให้สิ้นกระแสความ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ที่ว่าศาลอุทธรณ์ไม่ควรฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นก่อนที่จะได้ไต่สวนจึงฟังขึ้น

พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องของจำเลยที่ 1 ไว้ดำเนินการไต่สวน แล้วสั่งใหม่

Share