คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2500/2524

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์อยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของผู้เช่าที่ดินของจำเลย แต่เมื่อจำเลยขอรังวัดที่ดิน โจทก์ขัดขวางการรังวัดของเจ้าหน้าที่ และคัดค้านถึง 2 คราวว่าที่พิพาทเป็นของตน พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า โจทก์เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทจากการเป็นผู้อาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าของผู้เช่ามาเป็นยึดถือเพื่อตนและแจ้งให้จำเลยทราบแล้ว อันเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาท เมื่อจำเลยมิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี สิทธิฟ้องร้องของจำเลยย่อมหมดไป

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และพิพากษาฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทภายในเส้นสีเขียวตามแผนที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสี่ ให้ขับไล่โจทก์ทั้งสองพร้อมบริวารออกจากที่พิพาท ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เป็นว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครองที่พิพาท ห้ามจำเลยทั้งสี่และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงเชื่อว่าที่พิพาทเป็นที่ดินที่นายเพ็ชรและนายเสงี่ยมเช่าจากนายลำยวง โจทก์เข้าอยู่ในที่พิพาทภายหลังวันที่ 26 กรกฎาคม 2516 โดยอาศัยสิทธิของนายเพ็ชรและนายเสงี่ยม

ปัญหาข้อต่อไปมีว่า จำเลยถูกแย่งการครอบครองที่พิพาทและมิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในหนึ่งปีหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้เดิมโจทก์จะเข้าอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายเพ็ชรและนายเสงี่ยม แต่เมื่อจำเลยยื่นคำร้องต่อเจ้าหน้าที่อำเภอสามชุก ในวันที่ 14 มิถุนายน 2519 แจ้งความประสงค์จะได้สิทธิในที่ดิน โจทก์ที่ 1ได้ขัดขวางการรังวัดของเจ้าหน้าที่และคัดค้านต่ออำเภอว่า ที่พิพาทเป็นของตน และต่อมาเมื่อจำเลยนำเจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินทับที่พิพาทในปี พ.ศ. 2521 โจทก์ก็ขัดขวางการรังวัดและคัดค้านโดยอ้างเหตุผลเช่นเดิมอีก พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทจากการเป็นผู้อาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าของนายเพ็ชรและนายเสงี่ยมมาเป็นยึดถือเพื่อตนและแจ้งให้จำเลยทราบแล้ว อันเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาท เมื่อจำเลยมิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในหนึ่งปี นับแต่เดือนมิถุนายน 2519 สิทธิฟ้องร้องของจำเลยย่อมหมดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375”

พิพากษายืน

Share