คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5371/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทจำเลยเข้าไปปลูกบ้านในที่พิพาทโดยไม่ชอบขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์รับโอนที่พิพาทมาโดยไม่สุจริตภรรยาจำเลยเป็นผู้เช่าที่พิพาทสิทธิการเช่าไม่ระงับไปเพราะโจทก์ผู้รับโอนต้องรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนจำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่พิพาทถือว่าจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์เมื่ออสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ4,000บาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคสอง ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้แล้วว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทหรือไม่และจำเลยปลูกบ้านพิพาทรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์หรือไม่ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทและจำเลยปลูกบ้านพิพาทรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ก็ย่อมพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามคำขอท้ายฟ้องได้เพราะเป็นการวินิจฉัยเพื่อจะนำไปสู่ประเด็นข้อพิพาทที่ได้กำหนดไว้ถือไม่ได้ว่าเป็นการกำหนดประเด็นเพิ่มในคำพิพากษา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่110442 โดยโจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวจากนางเรืองรอง เจนสัจวรรณ์มาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2532 ปรากฏว่ามีบ้านเลขที่ 295/4 ซึ่งเป็นของจำเลยรุกล้ำอยู่ในที่ดินโดยละเมิด โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินแล้ว จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 48,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 295/4 ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 110442 เลขที่ดิน5856 ตำบลทุ่งสองห้อง (สองห้อง) อำเภอบางเขน (ตลาดขวัญ)กรุงเทพมหานคร โดยให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนทั้งหมดกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน 48,000 บาท แก่โจทก์ และให้ใช้ค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทมาโดยไม่สุจริตเพื่อจะหลีกเลี่ยงการดำเนินธุรกิจค้าขายที่ดินซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินและมีพฤติการณ์ฉ้อโกงประชาชน ภรรยาจำเลยเป็นผู้เช่าที่พิพาทปลูกเรือน จำเลยไม่เคยเกี่ยวข้องและไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินโจทก์ซึ่งได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อภรรยาจำเลยผู้เช่าด้วย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 295/4 หมู่ที่ 1แขวงสีกัน เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ออกไปจากที่ดินตามฟ้องและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 600 บาท นับแต่วันที่13 พฤษภาคม 2533 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินข้างต้น คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อแรกว่า คดีนี้ไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท จำเลยเข้าไปปลูกบ้านในที่พิพาทโดยไม่ชอบ ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์รับโอนที่พิพาทมาโดยไม่สุจริต ภรรยาจำเลยเป็นผู้เช่าที่พิพาท สิทธิการเช่าไม่ระงับไป เพราะโจทก์ผู้รับโอนต้องรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่พิพาทถือว่าจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ เมื่ออสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสองส่วนที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเพิ่มในคำพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยหรือไม่ ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้แล้วว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทหรือไม่ และจำเลยปลูกบ้านพิพาทรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์หรือไม่ ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทและจำเลยปลูกบ้านพิพาทรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ก็ย่อมพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามคำขอท้ายฟ้องได้เพราะเป็นการวินิจฉัยเพื่อจะนำไปสู่ประเด็นข้อพิพาทที่ได้กำหนดไว้จึงถือไมไ่ด้ว่าเป็นการกำหนดประเด็นเพิ่มในคำพิพากษาดังที่จำเลยฎีกา
พิพากษายืน

Share