คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1531/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มิได้รับการตรวจสุขภาพ มิได้รับการฉายเอ๊กซเรย์และตรวจคลื่นหัวใจและจำเลยที่ 2 ได้หลอกลวงให้โจทก์เอาประกันชีวิตโดยแจ้งว่าไม่ต้องตรวจสุขภาพแล้วจัดหาบุคคลอื่นไปรับการตรวจสุขภาพแทน ทำให้จำเลยที่ 1 เชื่อว่าโจทก์มีสุขภาพดี และรับประกันชีวิตโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงทำกลฉ้อฉลหลอกลวงให้โจทก์แสดงเจตนาทำสัญญาประกันชีวิตโดยเข้าใจผิดว่าได้ดำเนินการโดยถูกต้องตามระเบียบแล้ว ซึ่งถ้าโจทก์รู้ว่าเป็นการไม่ชอบก็จะไม่ทำสัญญาด้วย
จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนแสวงหาผู้เอาประกันของจำเลยที่ 1ขอให้โจทก์เอาประกันชีวิตกับจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าสัญญาประกันชีวิตได้มาเพราะทำฉ้อฉลของจำเลยที่ 1 เมื่อสัญญาประกันชีวิตรายนี้เป็นโมฆียะโจทก์บอกล้างโดยชอบแล้วสัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะมาแต่แรก โจทก์จำเลยต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดส่งคืนเบี้ยประกันพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทประกันภัย จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการสาขาที่จังหวัดเชียงใหม่ จำเลยที่ 2 ได้ขอให้โจทก์เอาประกันชีวิตไว้กับจำเลยที่ 1 ซึ่งกระทำได้โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพร่างกาย โจทก์จึงตกลงเอาประกันชีวิตไว้กับจำเลยที่ 1 ไว้ 2,500,000 บาท และโจทก์ได้ชำระเบี้ยประกันไปแล้ว 594,275 บาท ต่อมาโจทก์จึงทราบว่าที่จำเลยที่ 2 แจ้งต่อโจทก์ไม่ต้องตรวจโรคเป็นความเท็จ และฉ้อโกงโจทก์เป็นการฉ้อฉลต่อโจทก์ หากโจทก์ทราบความจริงว่าจะไม่เอาประกันกับจำเลยที่ 1โจทก์จึงบอกเลิกการประกันชีวิตรายนี้ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน 94,275 บาทให้โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ให้การรับว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนและผู้จัดการสาขาจังหวัดเชียงใหม่ของโจทก์ โจทก์รู้ดีว่าการเอาประกันชีวิตต้องมีแพทย์ตรวจสุขภาพก่อน ถ้าโจทก์ไม่ได้ตรวจร่างกาย ก็เนื่องจากโจทก์กับจำเลยที่ 2 สมคบกันทุจริตเพื่อหวังเอาเงินประกันชีวิตจากจำเลยที่ 1โจทก์บอกเลิกสัญญา จำเลยที่ 1 ตกลงด้วยแล้ว และส่งเบี้ยประกันภัยยังไม่ถึงสามี จึงไม่มีสิทธิรับเบี้ยประกันคืน

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยร่วมกันคืนเบี้ยประกันภัย94,275 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัดประอบการค้ารับประกันชีวิตด้วย โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนและมีระเบียบในการรับประกันชีวิตว่าในกรณีมีผู้ขอเอาประกันชีวิตจำนวนเงิน 2,500,000 บาท จะต้องให้แพทย์ตรวจสุขภาพและฉายเอ๊กซเรย์ด้วยเพื่อใช้พิจารณาว่าจะรับประกันหรือไม่ จำเลยที่ 1 ได้รับประกันชีวิตโจทก์ไว้เป็นเงิน 2,500,000 บาทตามกรมธรรม์ประกันชีวิต เอกสาร จ.9 โจทก์ชำระเบี้ยประกันงวดแรกจำนวน 94,275 บาทแก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 24เมษายน 2516 ต่อมาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2517 โจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ตกลงยอมเลิกด้วยแล้ว

โจทก์มิได้รับการตรวจสุขภาพ มิได้รับการฉายเอ๊กซเรย์และตรวจคลื่นหัวใจ และมีเหตุผลแวดล้อมกรณีให้เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้หลอกลวงให้โจทก์เอาประกันชีวิตโดยแจ้งว่าไม่ต้องตรวจสุขภาพแล้วจัดหาบุคคลอื่นไปรับการตรวจสุขภาพแทน ทำให้จำเลยที่ 1 เชื่อว่าโจทก์มีสุขภาพดีและรับประกันชีวิตโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงทำกลฉ้อฉลหลอกลวงให้โจทก์แสดงเจตนาทำสัญญาประกันชีวิตโดยเข้าใจผิดว่าได้ดำเนินการโดยถูกต้องตามระเบียบแล้ว ซึ่งถ้าโจทก์รู้ว่าเป็นการไม่ชอบก็จะไม่ทำสัญญาด้วยจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์เอาประกันชีวิตกับจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าสัญญาประกันชีวิตได้มาเพราะการทำฉ้อฉลของจำเลยที่ 1 ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าสัญญาประกันชีวิตรายนี้เป็นโมฆียะ และโจทก์บอกล้างโดยชอบแล้ว สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะมาแต่แรก โจทก์และจำเลยต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดส่งคืนเบี้ยประกันพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นว่าชอบด้วยเหตุผลและรูปคดีแล้ว

พิพากษายืน

Share