แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยว่าได้รับจำนองเรือไว้จากบุคคลภายนอกเป็นประกันหนี้ต่างกัน 3 รายรวม 52000 บาท จำเลยได้รับโอนเรือนั้นมา จึงขอให้จำเลยส่งเรือมาขายทอดตลาดใช้หนี้และให้จำเลยใช้ค่าเช่าเรือด้วยคดีถึงที่สุด ศาลพิพากษาให้โจทก์บังคับจำนองเอาจากเรือได้ 9000 บาทและให้จำเลยใช้ค่าเช่าเรือด้วยดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้แพ้คดีในที่สุด ซึ่งจะต้องเสียค่าธรรมเนียม
ย่อยาว
เดิมโจทก์ฟ้องว่า ช.ได้จำนองเรือ ๔ ลำไว้กับโจทก์เป็นประกันเงินกู้ ๑๒๐๐๐ บาท และเป็นประกันหนี้จำนองที่ดินอีก ๒๐๐๐๐ บาท กับค่าซื้อข้าวสารอีก ๒๐๐๐๐ บาท จำเลยทั้ง ๓ ได้รับโอนเรือทั้ง ๔ ลำไว้จาก ช. จึงขอให้จำเลยส่งเรือมาขายใช้หนี้โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเช่าเรือด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์บังคับจำนองเอาจากเรือได้เพียง ๙๐๐๐ บาท เงินค่าซื้อข้าวสาร ๒๐,๐๐๐ บาทนั้นไม่เกี่ยวและให้จำเลยทั้ง ๓ ใช้ค่าเช่าเรือให้โจทก์ด้วย
ในชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์เห็นว่าสัญญาจำนองใช้ไม่ได้จึงให้ยกฟ้อง เมื่อคดีสู่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่าสัญญาจำนองใช้ได้จึงย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ ค่าธรรมเนียมนั้นให้ผู้แพ้คดีในที่สุดเป็นผู้เสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาครั้งที่ ๒ คงแก้ฉะเพาะจำนวนค่าเช่าที่จำเลยจะต้องใช้นอกนั้นยืนตาม โจทก์ฎีกาต่อมาในเรื่องค่าซื้อข้าวสารและว่าศาลอุทธรณ์คิดค่าเช่าไม่ถูกต้อง แต่ศาลฎีกาคงพิพากษายืน
ในชั้นนี้ต่างเถียงกันว่าฝ่ายไหนเป็นผู้แพ้คดีในที่สุด
ศาลฎีกาตัดสินว่าจำเลยเป็นผู้แพ้คดีในที่สุดตามคำพิพากษาศษลฎีกาครั้งแรก เพราะประเด็นยิ่งใหญ่อันเป็นข้อพิพาทก็คือโจทก์มีสิทธิเรียกเรือมาบังคับจำนองได้หรือไม่ศาลได้พิพากษาเป็นคุณแก่โจทก์ทั้งว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าเช่าได้ด้วย และในกรณีเช่นนี้จะถือเอาความมากน้อยที่โจทก์ชนะหาได้ไม่ และไม่ปรากฎว่าโจทก์เรียกร้องเป็นจำนวนมากมายโดยมีเจตนาทุจจริตอย่างใด ที่ศาลล่างทั้ง ๒ วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นผู้แพ้คดีในที่สุดนั้นชอบแล้ว พิพากษายืน