แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกันที่อำเภอว่าจำเลยยอมออกจากที่พิพาท เมื่อจำเลยไม่ยอมออก โจทก์จึงฟ้องขับไล่
จำเลยจะเถียงว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ โจทก์มีกรรมสิทธิ์ไม่ได้ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองจำเลยบุกรุกนาของโจทก์ 3 ไร่โจทก์ร้องเรียนต่ออำเภอ ๆ ส่งกำนันไปดูที่ กำนันหลอกลวงขู่เข็ญให้โจทก์ขายที่ดินที่จำเลยบุกรุกให้จำเลย 200 บาท โจทก์จึงร้องต่อนายกรัฐมนตรี ในที่สุดจำเลยทำสัญญาประนีประนอมต่ออำเภอยอมคืนที่พิพาทให้โจทก์และโจทก์ยอมคืนเงิน 200 บาท ให้จำเลย แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอม ขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้ขับไล่จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและให้จำเลยรับเงิน 200 บาท จากโจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ขายที่ 1 ไร่เศษ ราคา 200 บาท ให้จำเลยแล้วโจทก์ร้องต่ออำเภอขอที่ดินคืน จำเลยก็ยอมคืน แต่โจทก์ไม่คืนเงิน 200 บาทให้จำเลย ฯ จึงไม่ยอมคืนที่ดิน และว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ ฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินเส้นสีดำขีดจุดในแผนที่ และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปกับให้จำเลยรับเงิน 200 บาท จากโจทก์
จำเลยฎีกา (คดีนี้ทุนทรัพย์ 2,000 บาท)
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่าที่ดินซึ่งจำเลยทำยอมคืนให้โจทก์ คือ ที่เส้นสีดำขีดจุดเช่นนี้โจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 248 ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ โจทก์มีกรรมสิทธิ์ไม่ได้ จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยทำยอมจะออกจากที่รายนี้แล้ว จำเลยจะยังเถียงว่าเป็นที่สาธารณะอีกหาได้ไม่
พิพากษายืน