คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2947/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ในคดีนี้เนื่องจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ผู้ชำระบัญชีแบ่งคืนทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2ถึงที่ 8 ผู้ถือหุ้นโดยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1269 โดยโจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 เรียกทรัพย์สินคืนจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 แล้ว แต่จำเลยที่ 1เพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียประโยชน์ โจทก์จึงใช้สิทธิเรียกร้องในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233 ดังนี้ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแม้จะเป็นคดีแพ่ง แต่มิใช่คดีแพ่งที่พิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรที่ศาลภาษีอากรจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาตามมาตรา 7(2)แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 เพราะเป็นเรื่องที่พิพาทกันว่าจำเลยที่ 2ถึงที่ 8 จะต้องคืนทรัพย์สินให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อที่โจทก์จะได้บังคับชำระหนี้ภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระหรือไม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ต่อศาลภาษีอากร การที่ศาลภาษีอากรพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่ม 448,954.74 บาท พร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินภาษี 326,616.50 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์เช่นนี้อาจมีผลทำให้เงินเพิ่มที่คำนวณได้เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสียอันจะมีผลทำให้จำเลยที่ 1 รับผิดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ได้เพราะประมวลรัษฎากร มาตรา 27 วรรคสาม ให้คำนวณเงินเพิ่มได้แต่มิให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสียปัญหาข้อนี้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งแปดร่วมกันชำระเงินภาษีเงินได้นิติบุคคล
จำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 ให้การว่า จำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 มิได้เป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 ไม่เคยรับเงินอันเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 คืน หลังจากจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกบริษัทและจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นและบัญชีแบ่งคืนทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เป็นเอกสารปลอมมีผู้ปลอมลายมือชื่อของจำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 8 ลงในบัญชีแบ่งคืนทรัพย์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 7 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่ม 448,954.74 บาท พร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละ1.5 ต่อเดือนของเงินภาษี 326,616.50 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์มีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ต่อศาลภาษีอากรกลางหรือไม่ เห็นว่า คดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 นั้น โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ชำระบัญชี ได้นำทรัพย์สินของบริษัทจำเลยที่ 1 มาแบ่งคืนให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ผู้ถือหุ้นทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 1 ยังมีหนี้สินที่จะต้องชำระค่าภาษีให้แก่โจทก์โจทก์ให้จำเลยที่ 1 เรียกทรัพย์สินคืนจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 แล้วแต่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ผู้ชำระบัญชีเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินพอจะชำระหนี้ค่าภาษีได้ ทำให้โจทก์ต้องเสียประโยชน์ โจทก์ขอเรียกร้องในนามตนเองแทนจำเลยที่ 1 กรณีตามฟ้องดังกล่าว ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือ จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ผู้ชำระบัญชีแบ่งคืนทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8ผู้ถือหุ้นโดยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1269เมื่อจำเลยที่ 1 เพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียประโยชน์ โจทก์จึงใช้สิทธิเรียกร้องในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแม้จะเป็นคดีแพ่ง แต่มิใช่คดีแพ่งที่พิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรที่ศาลภาษีอากรกลางจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาตามมาตรา 7(2)แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 เพราะเป็นเรื่องที่พิพาทกันว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8จะต้องคืนทรัพย์สินให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อที่โจทก์จะได้บังคับชำระหนี้ภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระหรือไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ต่อศาลภาษีอากรกลาง ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 2 ผู้ชำระบัญชีฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1269 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ผู้ถือหุ้นจึงไม่มีสิทธิรับคืนเงินดังกล่าวไป เงินดังกล่าวยังเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 อยู่ จึงเป็นการฟ้องเรียกหนี้ภาษีโดยตรงจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ผู้ครอบครองทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 มาชำระหนี้ค่าภาษีอากรของรัฐ ย่อมเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรนั้น เห็นว่า ข้อพิพาทของโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ในหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มิใช่เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 มานั้นชอบแล้ว
อนึ่ง การที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่ม 448,954.74 บาท พร้อมเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของเงินภาษี 326,616.50 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์เช่นนี้อาจมีผลทำให้เงินเพิ่มที่คำนวณได้เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสียอันจะมีผลทำให้จำเลยที่ 1 รับผิดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ได้เพราะประมวลรัษฎากร มาตรา 27 วรรคสาม ให้คำนวณเงินเพิ่มได้แต่มิให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสีย ปัญหาข้อนี้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
พิพากษาแก้เป็นว่า เงินเพิ่มที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เมื่อรวมกับเงินเพิ่มที่คำนวณถึงวันฟ้องแล้วมิให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสียนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง

Share