คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1745/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติ ญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะในเรื่องขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ชั่วคราวตามมาตรา 17ซึ่งจะขอได้ก็ แต่ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเท่านั้น และเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้วมาตรา 19 วรรคแรก บัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ายึดดวงตรา สมุดบัญชี และเอกสารของลูกหนี้ และบรรดาทรัพย์สินซึ่งอยู่ในความครอบครองของลูกหนี้หรือของผู้อื่นอันอาจแบ่งได้ในคดีล้มละลาย ฉะนั้นเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและโจทก์อุทธรณ์โจทก์จะขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดทรัพย์ของลูกหนี้ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไม่ได้

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลาย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์พร้อมทั้งยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยไว้ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จนกว่าจะได้มีคำพิพากษาอย่างหนึ่งอย่างใด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ประกอบกับมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 และตามนัยคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ 14/2506
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับโจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาว่าในคดีล้มละลายศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 17 บัญญัติว่า”ก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้อง ขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ชั่วคราวก็ได้ เมื่อศาลได้รับคำร้องนี้แล้วให้ดำเนินการไต่สวนต่อไปโดยทันที ถ้าศาลเห็นว่าคดีมีมูล ก็ให้สั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ชั่วคราว…” ซึ่งจะขอได้ก็แต่ในกรณีก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเท่านั้น และเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว มาตรา 19 วรรคแรก บัญญัติว่า “คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ให้ถือเสมือนว่าเป็นหมายของศาลให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ายึดดวงตรา สมุดบัญชีและเอกสารของลูกหนี้ และบรรดาทรัพย์สินซึ่งอยู่ในความครอบครองของลูกหนี้หรือของผู้อื่นอันอาจแบ่งได้ในคดีล้มละลาย” นอกจากนี้การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายนั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153บัญญัติว่า “…ส่วนใดที่พระราชบัญญัตินี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม” คดีนี้โจทก์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์แม้โจทก์จะอ้างว่าเป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ ตามมาตรา 264แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งประกอบด้วยมาตรา 153พระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 ตามที่โจทก์ฎีกาก็ตาม แท้จริงก็เป็นการขอให้ศาลยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ก่อนพิพากษานั่นเองซึ่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะดังกล่าวมาแล้ว จึงจะนำบทบัญญัติว่าด้วยการยึดทรัพย์ของจำเลยก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับไม่ได้และตามคำร้องของโจทก์ก็มิใช่เป็นการขอให้คุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณา คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ 14/2506 ที่โจทก์อ้างมาเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกาและยื่นคำร้องขอให้ศาลงดปล่อยทรัพย์ของจำเลยที่โจทก์นำยึดไว้ อันเป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้จึงนำมาเทียบเคียงไม่ได้ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 300 บาท แทนจำเลย

Share