คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เหตุเกิดในขณะใช้กฎหมายลักษณะอาญา จำเลยทั้ง 4 คนสมคบกันลักของใช้สำหรับราชการ และลักในเวลาค่ำคืน แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 มิได้บัญญัติว่าการลักของใช้ในราชการเป็นเหตุฉกรรจ์ของการลักทรัพย์ จึงลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 294(4) ไม่ได้(เทียบฎีกาที่ 535/2500) แต่ว่าโดยที่การกระทำของจำเลยยังเป็นเหตุฉกรรจ์ของการลักทรัพย์อยู่อีก 2 ประการ คือ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและร่วมกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ยังบัญญัติไว้ให้เป็นเหตุฉกรรจ์อยู่ในอนุมาตรา (1) และ (7) ซึ่งตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 293(1) และ (11) และโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 293 เบากว่าโทษในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 เช่นนี้ ต้องวางบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 293(1) และ(11)
ขณะนี้ผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ ยังมิใช่เป็นพยานหลักฐานทีศาลยุติธรรมจะรับฟังเป็นยุติ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่า จำเลยลักทรัพย์ (จักรเย็บผ้า 2 คัน) ในเวลาค่ำคืน โดยมีพรรคพวกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และลักของ (จักรที่ใช้ในราชการทหาร 1 คัน) ที่จะใช้สำหรับราชการหรือที่จะใช้เพื่อสาธารณประโยชน์

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2499 เวลากลางคืน โจทก์อ้างกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 288, 293, 294

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 4 เป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 294 อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะจำเลยกระทำผิด และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 อันเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะพิพากษา ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้ง 4 ไว้ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 294 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีกำหนดโทษเบาเป็นคุณแก่จำเลยโดยวางโทษจำคุกจำเลยทั้ง 4 คน ไว้คนละ 3 ปี แต่สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 คำรับชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.78 เสีย 1 ใน 3คงเหลือโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 2 ปี กับให้จำเลยทั้ง 4 ช่วยกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญามิได้บัญญัติความผิดฐานลักทรัพย์ที่จะใช้สำหรับราชการไว้ เพราะฉะนั้น จะลงโทษจำเลยในฐานลักทรัพย์ที่จะใช้สำหรับราชการตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 294(4) ไม่ได้ คดีจึงต้องปรับบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 293(1), (11) พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ปรับบทลงโทษและลดโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 293(1), (11) และ มาตรา 59 ส่วนกำหนดโทษอื่น นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งมีความเห็นแย้งว่า ควรพิพากษายืน

โจทก์ฎีกาว่า ควรลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 294ตามศาลชั้นต้น และจำเลยทั้ง 4 ฎีกาด้วย

ศาลฎีกาพิจารณาเห็นว่า เมื่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 มิได้บัญญัติไว้ว่า การลักของที่ใช้ในราชการเป็นเหตุฉกรรจ์ของการลักทรัพย์ ก็แสดงให้เห็นว่า แม้ยังเป็นความผิดฐานลักทรัพย์อยู่แต่กฎหมายใหม่ (คือประมวลกฎหมายอาญา) มิให้เป็นเหตุฉกรรจ์ต่อไปเทียบได้ตามฎีกาที่ 535/2500 การที่จำเลยลักจักรเย็บผ้าอันเป็นของใช้สำหรับราชการในคดีนี้ไม่เป็นเหตุฉกรรจ์ของการลักทรัพย์ตามกฎหมายใหม่ เมื่อเช่นนี้ ก็จะลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 294 มิได้ แต่โดยที่การกระทำของจำเลยยังเป็นเหตุฉกรรจ์ของการลักทรัพย์อยู่อีก 2 ประการ คือ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันแต่สองคนขึ้นไป และเหตุฉกรรจ์นี้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ยังบัญญัติไว้ให้เป็นเหตุฉกรรจ์อยู่ตามอนุมาตรา (1) และ (7) ซึ่งตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา ม.293(1) และ(11) และโทษตามบทมาตราดังกล่าวหลังนี้ เบากว่าโทษในประมวลกฎหมายอาญา มาตา 335 จึงต้องวางบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 293(1) และ (11) ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา

ที่จำเลยฎีกาว่า ผลเครื่องจับเท็จตามรายงานมิใช่เป็นพยานที่ชอบด้วยกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์รับฟังรายงานที่ได้รับจากเครื่องจับเท็จมาลงโทษจำเลยจึงคลาดเคลื่อนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จริงอยู่ขณะนี้ผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จยังมิใช่พยานหลักฐานที่ศาลยุติธรรมจะรับฟังเป็นยุติ แต่ที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาในคดีนั้นมิใช่ฟังผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จดังกล่าว แต่ฟังคำรับของจำเลยที่ 4 ที่รับต่อพนักงานตำรวจผู้ทำการทดสอบจำเลยด้วยเครื่องจับเท็จมาประกอบการพิจารณา จึงเป็นคนละเรื่องกับข้อโต้แย้งของจำเลยในฎีกา

พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share