แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทนายความชั้นสองย่อมมีสิทธิเรียงคำฟ้องฎีกาให้คู่ความได้. ไม่จำต้องได้รับอนุญาตจากศาลหรือได้รับการแต่งตั้งมาจากศาลชั้นต้น มิต้องห้ามตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2508มาตรา 36.
เดิมนาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เมื่อจำเลยจำนอง. โจทก์ยังไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่. สิทธิในนาพิพาทของจำเลยจึงเป็นสิทธิที่ยังมิได้จดทะเบียน. เมื่อมีการแจ้งการครอบครองตามกฎหมาย จำเลยก็.ไม่แจ้ง. แต่ ย.ซึ่งดูแลแทนจำเลยกลับแจ้งเป็นของตน แล้วออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และจำนองม.. ต่อมาได้ไถ่ถอนจำนองและขายม.. ม.ขายให้ผู้ร้องโดยมีรายการจดทะเบียนไว้ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เป็นลำดับ. สิทธิในนาพิพาทของผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว. จึงมีสิทธิดีกว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของเดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299วรรคท้าย. เมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของเดิมไม่อาจอ้างสิทธิในการเป็นเจ้าของในนาพิพาทเพื่อใช้ยันผู้ร้องได้แล้ว.สิทธิจำนองของโจทก์ในการที่จะบังคับเอาแก่นาพิพาทก็ย่อมเป็นอันหมดสิ้นไปในตัว. โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่นาพิพาทซึ่งเป็นของผู้ร้องได้ต่อไป. เพราะผู้ร้องได้สิทธิในนาพิพาททางทะเบียนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งเป็นหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินที่มีขึ้นใหม่ภายหลัง. โดยไม่ใช่เป็นการรับโอนจากจำเลย. กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702 วรรคท้าย. เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับจำนองนาพิพาทแล้ว. โจทก์ก็ไม่มีสิทธิยึดนาพิพาท.
ย่อยาว
ผู้ร้องร้องว่า ที่นาพิพาทที่โจทก์นำพนักงานบังคับคดียึดเป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลย ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด โจทก์จำเลยให้การต้องกันว่า เดิมนาพิพาทเป็นของนายด้วงนายด้วงขายให้จำเลย ต่อมาจำเลยจำนองโจทก์ นายเยื้อนเอานาพิพาทจากจำเลยไปขายนายม้อย ติดจำนองไป นายม้อยขายให้ผู้ร้องโดยยังไม่ปลดหนี้จำนอง โจทก์เป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิ ฯลฯ ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องทั้งสองฎีกา โดยผู้ร้องทั้งสองพิมพ์มือและลงชื่อเป็นผู้ฎีกา นายไร จิราพงษ์ ทนายความเป็นผู้เรียง ที่โจทก์คัดค้านว่า นายไรไม่มีอำนาจเรียงคำฟ้องฎีกานั้นศาลฎีกาเห็นว่า นายไร จิราพงษ์ เป็นทนายความชั้นสอง และมิได้ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2508 มาตรา 36 ย่อมมีสิทธิเรียงคำฟ้องฎีกาให้ผู้ร้องทั้งสองได้ไม่จำต้องได้รับอนุญาตจากศาลหรือได้รับการแต่งตั้งมาจากศาลชั้นต้น ปัญหาที่ว่า โจทก์มีสิทธิยึดนาพิพาทหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าเดิมนาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เมื่อจำเลยจำนองโจทก์ยังไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินอย่างใดสิทธิในนาพิพาทของจำเลยจึงเป็นสิทธิที่ยังมิได้จดทะเบียน ครั้นเมื่อมีการให้แจ้งการครอบครองตามกฎหมาย จำเลยก็ไม่แจ้ง แต่นายเยื้อน สินเอี่ยม ผู้ปกครองดูแลแทนจำเลยกลับแจ้งเอาว่าเป็นของตน แล้วออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) และจำนองนายม้อย ต่อมาได้ไถ่ถอนจำนองแล้วขายนายม้อยนายม้อยขายต่อให้ผู้ร้องทั้งสอง โดยมีรายการจดแจ้งทางทะเบียนไว้ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) นั้นเป็นลำดับ สิทธิในนาพิพาทของผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วจึงมีสิทธิดีกว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของเดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคท้าย เมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของเดิมไม่อาจอ้างสิทธิในการเป็นเจ้าของในนาพิพาทเพื่อใช้ยันผู้ร้องทั้งสองได้แล้ว สิทธิจำนองของโจทก์ในการที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินคือนาพิพาทนั้น ก็ย่อมเป็นอันหมดสิ้นไปในตัว โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอาแก่นาพิพาทซึ่งเป็นของผู้ร้องทั้งสองได้ต่อไป เพราะผู้ร้องทั้งสองได้สิทธิในนาพิพาททางทะเบียนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ซึ่งเป็นหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินที่มีขึ้นใหม่ภายหลัง โดยไม่ใช่เป็นการรับโอนจากจำเลย กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702 วรรคท้ายเมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับจำนองนาพิพาทแล้ว โจทก์ก็ไม่มีสิทธิยึดนาพิพาท พิพากษากลับ เป็นให้ปล่อยนาพิพาทจากการยึดของเจ้าพนักงานบังคับคดี.