แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องให้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ อ.ระหว่างอ.ส่งชำระค่าเช่าซื้อเหลืออีก 8 งวด จำเลยที่ 1 ได้นำรถยนต์ดังกล่าวไปขนไม้เถื่อนด้วยความรู้เห็นของอ.ผู้ร้องประสงค์เพียงค่าเช่าซื้อที่ค้างคืนส่วนการขอคืนรถยนต์ของกลางในคดีนี้แท้จริงเป็นความประสงค์ของ อ. ผู้ร้องยอมให้ อ.ใช้ชื่อผู้ร้องบังหน้าในการขอคืนของกลาง ดังนี้ถือว่าเป็นการขอคืนของกลางเพื่อประโยชน์ของ อ.ผู้รู้เห็นในการกระทำความผิดกรณีไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งคืนให้ได้
ย่อยาว
คดีนี้ ศาลพิพากษาให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานมีไม้หวงห้ามไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาตและให้ริบรถยนต์บรรทุกของกลางหมายเลขทะเบียน น.พ.01498
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลส่งคืนรถยนต์บรรทุกของกลางโดยอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของแท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
โจทก์คัดค้านว่ารถยนต์ของกลางเป็นของจำเลยและผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยกระทำความผิด
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้คืนของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่ารถยนต์ของกลางนี้ผู้ร้องได้ให้นายอาจเช่าซื้อกำหนดค่าเช่าซื้อ 30 งวด ส่งไปแล้ว 22 งวด เหลืออีก8 งวดก็เกิดเหตุเรื่องนี้โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นน้องชายและลูกจ้างนายอาจนำไปบรรทุกไม้เถื่อนตามที่จำเลยที่ 1 เพื่อนบ้านวานให้ขน การขนไม้ดังกล่าวก็ขนผ่านบ้านนายอาจ และข้ออ้างที่นายอาจอ้างว่าไม่รู้เห็นก็ขัดต่อเหตุผลพฤติการณ์ฟังได้ว่านายอาจรู้เห็นในการขนไม้เถื่อนรายนี้ การขอคืนของกลางรายนี้ผู้ร้องได้มอบอำนาจให้นายอาจมาดำเนินคดี อันเป็นความประสงค์ของนายอาจ ส่วนผู้ร้องประสงค์จะได้ค่าเช่าซื้อที่ค้าง 8 งวดคืนเท่านั้น ผู้ร้องยอมให้นายอาจใช้ชื่อผู้ร้องบังหน้าในการขอคืนของกลางคดีนี้ก็เพื่อประโยชน์ของนายอาจนั่นเอง ศาลฎีกาเห็นว่าการขอคืนของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 นั้นเป็นการใช้สิทธิทางศาลอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ขอจะต้องกระทำการโดยสุจริต เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลโดยแจ้งชัดว่า ผู้ร้องมิใช่ผู้ขอคืนที่แท้จริง แต่เป็นการขอคืนเพื่อประโยชน์แก่นายอาจซึ่งเป็นผู้รู้เห็นในการกระทำความผิดเช่นนี้ กรณีจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งคืนให้ได้
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง