แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแต่ให้ ผ. มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทน การที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงซื้อขายที่ดินกันโดย ผ. ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นการตกลงทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินกันระหว่างโจทก์ ผ. และจำเลยที่ 1 เท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุคคลภายนอก ดังนั้น แม้จำเลยที่ 1 ได้หลอกลวงเป็นกลฉ้อฉลต่อโจทก์และ ผ. จนเป็นเหตุให้บุคคลทั้งสองหลงเชื่อตกลงขายที่ดินให้จำเลยที่ 1 อันทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ แต่จำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินไว้จากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน แม้ภายหลังโจทก์ไปขอไถ่ถอนที่ดินคืนจากจำเลยที่ 2 ในขณะที่ยังไม่ครบกำหนดที่จำเลยที่ 1 จะไปไถ่ถอนคืนได้ตามสัญญาจำเลยที่ 2 ไม่ยอมให้ไถ่ถอน โจทก์ก็ไม่อาจยกเอาเหตุโมฆียะที่โจทก์ได้บอกล้างแล้วขึ้นต่อสู้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 160 ประกอบมาตรา 1329
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโดยได้รับยกเว้นค่าขึ้นศาลกึ่งหนึ่งว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 605 เนื้อที่ 30 ไร่ 1 งาน 99 ตารางวา ซึ่งโจทก์ได้มาโดยบิดามารดาโจทก์ยกให้โจทก์เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว ต่อมาเมื่อ 2512 โจทก์ได้ไปขอออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินดังกล่าว โดยใส่ชื่อนายประจักษ์ กาญจนะ น้องชายโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ในปีเดียวกันนายประจักษ์ได้นำที่ดินไปขายฝากไว้แก่นางเสงี่ยม วรรธนสาร โดยโจทก์ไม่ทราบเรื่อง ต่อมาเมื่อปี 2531 ได้โอนที่ดินดังกล่าวเป็นชื่อนางอรุณี วรรธนสาร เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2531 โจทก์ได้กู้ยืมเงินจำนวน 1,000,000 บาท จากนางเผื่อน ชูศรี เพื่อนำไปจ่ายให้นางอรุณีเพื่อให้โอนที่ดินกลับมาเป็นของโจทก์ และเพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้แก่นางเผื่อน โจทก์กับนางเผื่อนตกลงกันให้นางเผื่อนเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทนโจทก์ไปพลางก่อน เมื่อเดือนมิถุนายน2534 โจทก์ประสงค์จะขายที่ดิน โจทก์ไปพบกับจำเลยที่ 1 เพื่อเสนอขายที่ดิน โจทก์เอาโฉนดที่ดินให้จำเลยที่ 1 ดูและแจ้งว่าแม้จะเป็นชื่อนางเผื่อนเป็นเจ้าของ แต่ความจริงแล้วนางเผื่อนเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทนโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้หลอกลวงโจทก์ว่าประสงค์จะซื้อที่ดินของโจทก์ในราคา 9,000,000 บาท เพื่อทำบ้านจัดสรร ต่อมาวันที่ 11กรกฎาคม 2534 จำเลยที่ 1 โจทก์และนางเผื่อนไปทำการโอนที่ดิน โดยโจทก์ขายที่ดินให้จำเลยที่ 1 ในราคา 9,000,000 บาท จำเลยที่ 1 ใช้อุบายว่าในเบื้องต้นจะชำระราคาที่ดินให้โจทก์ก่อน 1,200,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 7,800,000 บาท จำเลยที่ 1 จะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 12 เดือน และหลอกลวงโจทก์ด้วยว่าเพื่อให้การชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือเป็นไปโดยสะดวกรวดเร็ว ขอให้โจทก์โอนชื่อเจ้าของในโฉนดที่ดินเป็นชื่อจำเลยที่ 1 เพื่อที่จำเลยที่ 1 จะได้นำที่ดินไปจำนองแก่ธนาคารและนำเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระโดยเร็ว โจทก์หลงเชื่อจึงยอมให้นางเผื่อนจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม 2534 จำเลยที่ 1 นำที่ดินไปขายฝากไว้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบ และจำเลยที่ 2 รับซื้อไว้โดยไม่สุจริต เพราะจำเลยที่ 2 รู้มาก่อนว่าจำเลยที่ 1 ฉ้อฉลหลอกลวงเอาที่ดินไปจากโจทก์ แต่ยังรับซื้อฝากไว้ในราคาที่ต่ำโดยรับซื้อไว้เพียง 4,301,000 บาท ทั้งที่ในขณะนั้นที่ดินมีราคาซื้อขายกันในท้องตลาดมากกว่า 9,000,000 บาท จำเลยที่ 1 ไม่เคยนำเงินค่าที่ดินที่ค้างชำระมาชำระแก่โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยที่ 1 ก็บ่ายเบี่ยง โจทก์ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์สาขาลำปลายมาศ จึงทราบว่าจำเลยที่ 1 นำที่ดินไปขายฝากไว้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1ไม่มีเจตนาที่จะซื้อที่ดินจากโจทก์และได้ใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ให้โอนให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อจำเลยที่ 1 จะได้นำไปขายฝากไว้แก่จำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ให้โอนที่ดินพิพาทกลับมาเป็นของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและไม่เคยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 ไม่เคยแสดงเจตนาลวงโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน และนำที่ดินพิพาทไปขายฝากไว้แก่จำเลยที่ 2 โดยสุจริตขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่เคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทให้นายประจักษ์ กาญจนะ และต่อมานายประจักษ์ได้ขายฝากจนหลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของนางเสงี่ยม วรรธนะสาร เมื่อนางเสงี่ยมตาย ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนางเสงี่ยมตกได้แก่นางอรุณี วรรธนะสาร และต่อมานางอรุณีได้ขายที่ดินพิพาทให้นางเผื่อน ชูศรี แล้วนางเผื่อนได้ขายให้จำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำไปจำนองไว้แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) และมีการไถ่จำนองแล้วนำมาขายฝากจนหลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 แล้ว ที่โจทก์อ้างว่าก่อนบิดามารดาโจทก์ถึงแก่ความตายได้ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์นั้น เป็นการกล่าวอ้างการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยนิติกรรม ซึ่งไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงไม่บริบูรณ์และที่โจทก์อ้างว่าได้กรรมสิทธิ์มาโดยการครอบครองปรปักษ์นั้นก็ไม่สามารถใช้ยันกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ เพราะจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2534 ถึงวันฟ้องเป็นเวลาเพียง 3 ปีเศษ จำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริตในราคา 4,301,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 รับเงินไปจากจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 3,740,000 บาท แต่ทำเป็นสัญญากู้ยืมเงินและนำที่ดินพิพาทมาขายฝากไว้แก่จำเลยที่ 2 มีกำหนดใช้เงินคืนจำเลยที่ 2 พร้อมกับไถ่ที่ดินพิพาทภายในวันที่ 9 ตุลาคม 2535 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เป็นเงิน 561,000 บาท จึงได้นำดอกเบี้ยดังกล่าวเข้ารวมกับต้นเงินเป็นยอดเงิน 4,301,000 บาท โดยในขณะนั้นที่ดินพิพาทมีราคาซื้อขายกันในราคา 3,000,000 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ได้มาไถ่ที่ดินพิพาทคืนภายในกำหนด ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 บันทึกเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก และการที่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมชำระเงินตามบันทึกดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่ผิดสัญญา ไม่ใช่เป็นการแสดงเจตนาลวงอันจะทำให้สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นโมฆะ การแสดงเจตนาลวงตามที่โจทก์อ้างไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและกระทำการโดยสุจริตได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้เพิกถอนสัญญาขายฝากระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.4 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท สำหรับค่าธรรมเนียมศาลที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระต่อศาลในนามโจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เดิมที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 605 ตำบลลำปลายมาศ อำเภอลำปลายมาศจังหวัดบุรีรัมย์เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แต่โจทก์ไม่มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน โดยโจทก์ให้ผู้อื่นมีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนตลอดมา จนวันที่ 25 สิงหาคม 2531 ก็มีชื่อนางเผื่อนชูศรี เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน ครั้นวันที่ 11 กรกฎาคม 2534 ได้มีการจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 1 ต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม 2534 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายฝากไว้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 4,301,000 บาท มีกำหนด 1 ปี ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 หนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.8 และหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินเอกสารหมาย จ.4เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2534 โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 บอกเลิกการซื้อขายที่ดินและให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทคืนตามเอกสารหมาย ล.1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1460/2536 ของศาลชั้นต้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้หรือไม่ โจทก์ฎีกาสรุปได้ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยคำเบิกความของโจทก์ตอนหนึ่งว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทแล้วได้ถมที่ดินพร้อมขึ้นป้ายชื่อว่า โครงการธำรงนิเวศน์เพื่อจัดสรรขายแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มิได้หลอกลวงโจทก์ เป็นการไม่ชอบ เพราะตามข้อเท็จจริงจำเลยที่ 1 ตกลงซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ในราคา 9,000,000 บาท แต่ชำระให้โจทก์เพียง 1,200,000 บาท ส่วนที่เหลือจะชำระภายหลังและตกลงให้กรรมสิทธิ์โอนเมื่อชำระเงินเสร็จ แต่ในวันเดียวกันจำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้แก่ธนาคารในราคา 700,000 บาท แล้วต่อมาอีกประมาณ3 เดือน จำเลยที่ 1 ก็นำไปขายฝากไว้กับจำเลยที่ 2 ในราคา 4,301,000 บาท เท่านั้นอันจะเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ประโยชน์เป็นเงินถึง 2,401,000 บาท โดยไม่ต้องเข้าครอบครองเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเลยจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาซื้อที่ดินพิพาท เป็นแต่เพียงแสดงเจตนาหลอกลวงโจทก์ การซื้อขายไม่สมบูรณ์ เป็นโมฆียะ เมื่อโจทก์ให้ทนายความมีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 บอกเลิกการซื้อขายที่ดินแล้วสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 จึงตกเป็นโมฆะ ดังนั้นคู่กรณีจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยที่ 1 จะนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนขายฝากแก่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ สัญญาขายฝากที่ดินพิพาทไม่ชอบ เพราะการบอกล้างโมฆียะกรรมใช้ยันต่อบุคคลภายนอกได้ ทั้งจำเลยที่ 2 ก็รับซื้อฝากที่ดินไว้โดยไม่สุจริต สัญญาขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองจึงไม่ผูกพันโจทก์ โจทก์ขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้นั้น เห็นว่า การที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงซื้อขายที่ดินพิพาทกันจนในที่สุดนางเผื่อนได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ดังกล่าวนั้นเป็นการตกลงทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินกันระหว่างโจทก์นางเผื่อนและจำเลยที่ 1 เท่านั้นส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุคคลภายนอก ดังนั้น การซื้อขายที่ดินพิพาทกันระหว่างโจทก์ นางเผื่อน และจำเลยที่ 1 จะเป็นไปโดยจำเลยที่ 1 หลอกลวงเป็นกลฉ้อฉลต่อโจทก์และนางเผื่อนหรือไม่นั้น ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เพราะแม้จะฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้หลอกลวงเป็นกลฉ้อฉลต่อโจทก์และนางเผื่อน จนเป็นเหตุให้บุคคลทั้งสองหลงเชื่อตกลงขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 อันทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะได้ดังเช่นที่โจทก์ฎีกาก็ตาม แต่ผลแห่งการหลอกลวงเป็นกลฉ้อฉลของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์มีสิทธิบอกล้างนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 160 บัญญัติว่า “การบอกล้างโมฆียะกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉลตามมาตรา 159 ห้ามมิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต” และมาตรา 1329 บัญญัติ “สิทธิของบุคคลผู้ได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริตนั้น ท่านว่ามิเสียไป ถึงแม้ว่าผู้โอนทรัพย์สินให้จะได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยนิติกรรมอันเป็นโมฆียะ และนิติกรรมนั้นได้ถูกบอกล้างภายหลัง” ดังนั้น ถึงแม้โจทก์ได้ใช้สิทธิบอกล้างโมฆียะกรรม ทำให้การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกเป็นโมฆะ ซึ่งคู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมดังเช่นที่โจทก์ฎีกาก็ตาม แต่โจทก์ก็หามีสิทธิยกขึ้นต่อสู้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่รับซื้อฝากที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทนก่อนมีการบอกล้างโมฆียะกรรมได้ไม่เว้นแต่จำเลยที่ 2 ได้รู้ถึงการที่จำเลยที่ 1 หลอกลวงเป็นกลฉ้อฉลต่อโจทก์และนางเผื่อนนั้นด้วยแล้ว ยังคงรับซื้อฝากที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 อีก การที่โจทก์บอกล้างโมฆียะกรรมการซื้อที่ดินระหว่างโจทก์ นางเผื่อน และจำเลยที่ 1 ให้ตกเป็นโมฆะในกรณีเช่นนี้จึงจะมีผลถึงจำเลยที่ 2 ที่จะทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกเอาที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 2 ได้ แต่ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ได้ความแน่ชัดว่าก่อนหรือขณะที่จำเลยที่ 2 ซื้อฝากที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 ได้รู้ถึงการที่จำเลยที่ 1 หลอกลวงเป็นกลฉ้อฉลซื้อที่ดินพิพาทมาจากโจทก์แต่อย่างใด โจทก์คงเบิกความแต่เพียงว่า ก่อนมีการขายฝากมีคนมาดูที่ดินพิพาท โจทก์สอบถามแล้วได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนให้มาดู โจทก์จึงบอกว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจำเลยที่ 1 ยังชำระเงินไม่หมดเท่านั้น ซึ่งก็เป็นการเบิกความลอย ๆ โดยนายเต็มชัย รอดเรืองรุ่ง พยานจำเลยที่ 2 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า วันไปดูที่ดินพิพาทไม่พบโจทก์อยู่ในที่ดินพิพาท ประกอบกับโจทก์ได้เบิกความยอมรับว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีส่วนรู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1 ทำบันทึกการซื้อขายที่ดินพิพาทจากโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3 และยังเบิกความอีกด้วยว่า จำเลยที่ 2 ไม่เกี่ยวข้องและไม่รู้เห็นข้อตกลงเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 จึงเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นได้ว่า เมื่อจำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นถึงการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 1 เพราะตามโฉนดที่ดินพิพาทก็มิได้มีชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่ด้วย ส่วนที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า ที่ดินพิพาทมีราคาถึง 9,000,000 บาท แต่จำเลยที่ 2 กลับรับซื้อฝากไว้เพียง 4,301,000 บาท โดยไม่ได้ตรวจดูว่าราคาท้องตลาดเป็นเท่าใดนั้น ถึงหากจะฟังได้ดังที่โจทก์อ้างก็หาเป็นพิรุธไม่ เพราะราคารับซื้อฝากที่ดินหาจำเป็นต้องซื้อขายกันเต็มราคาท้องตลาดไม่ เนื่องจากผู้ขายฝากก็ต้องคำนึงถึงความสามารถของตนเองที่จะซื้อคืนในภายหลังด้วย และนางสนิท พูนเป้าพยานจำเลยที่ 2 ซึ่งรับราชการในสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขาลำปลายมาศ ก็ได้เบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า ปกติการรับซื้อขายฝากที่ดินจะรับซื้อต่ำกว่าราคาที่เป็นจริงตามท้องตลาด ดังนั้นที่จำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ในราคา 4,301,000 บาท จึงไม่เป็นพิรุธให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ได้รู้ถึงการที่จำเลยที่ 1 หลอกลวงซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์แต่อย่างใด จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตละมีค่าตอบแทน แม้ภายหลังโจทก์ไปขอไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 2 ในขณะที่ยังไม่ครบกำหนดที่จำเลยที่ 1 จะไปไถ่ถอนคืนจากจำเลยที่ 2 ได้ตามสัญญา จำเลยที่ 2 ไม่ยอมให้โจทก์ไถ่ถอนโจทก์ก็ไม่อาจยกเอาเหตุที่จำเลยที่ 1 หลอกลวงเป็นกลฉ้อฉลต่อโจทก์ซื้อที่ดินจากโจทก์อันทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะที่โจทก์ได้บอกล้างแล้วขึ้นต่อสู้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและได้ที่ดินพิพาทมาโดยมีค่าตอบแทนก่อนมีการบอกล้างโมฆียะกรรมได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 160 ประกอบมาตรา 1329 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองแล้วพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ